รู้จักจุฬาฯ
การบริหาร
อัตลักษณ์มหาวิทยาลัย
Green University
Sustainability
ติดต่อจุฬาฯ
บริจาคให้จุฬาฯ
หลักสูตร
การสมัครเข้าศึกษา
หน่วยงานการศึกษา
บริการนิสิต
บริการวิชาการ
บริการทางการแพทย์
บริการตรวจวิเคราะห์คุณภาพ
สารสนเทศและการสื่อสาร
พื้นที่สร้างสรรค์
ข่าวสารและความเคลื่อนไหว
วารสารจุฬาฯ
สาระความรู้
รู้ลึกกับจุฬาฯ
ฉบับวันที่: 11/11/2019 นักวิชาการ: รศ.ดร.วิมุต วานิชเจริญธรรม จากภาควิชาการธนาคารและการเงิน คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาฯ
การสำรวจสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำของไทยสะท้อนว่าปัญหานี้กำลังจะทวีความรุนแรงขึ้น ทั้งๆที่รัฐบาลไทยมีนโยบายเศรษฐกิจที่เน้นถึงการออกจากกับดักรายได้ปานกลาง แต่ภาวะเศรษฐกิจไทยที่ขยายตัวในระดับต่ำและสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองไทยในทศวรรษที่ผ่านมายังคงสร้างความกังวลให้ภาคประชาชนว่าการกระจายรายได้ที่ไม่สมดุล ไม่เท่าเทียมกันนั้นจะพาสังคมไทยไปในทิศทางใด
คำถามนี้กลายเป็นประเด็นถกเถียงในงานประชุมวิชาการเรื่อง “การลดความเหลื่อมล้ำในหลากหลายมิติเพื่อการการพัฒนาสังคมที่ยั่งยืน” ซึ่งเป็นเป้าหมายของการพัฒนาแห่งสหัสวรรษขององค์กรสหประชาชาติ เวทีเสวนาครังนี้จัดโดยคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยร่วมกับองค์กรอ็อกแฟม (Oxfam) เมื่อวันที่ 29-30 ตุลาคมที่ผ่านมา
รศ.ดร.วิมุต วานิชเจริญธรรม จากภาควิชาการธนาคารและการเงิน คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาฯ หนึ่งในผู้เข้าร่วมเสวนา ตั้งคำถามเกี่ยวกับวิธีการประเมินความเหลื่อมล้ำของประเทศไทย ในหัวข้อ “Reducing inequalities : Recent experiences from Thailand” โดยกล่าวว่า การวัดความเหลื่อมล้ำในวงการวิชาการ มักพิจารณาจากการถือครองรายได้ โดยใช้ตัวเลขจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ ซึ่งไปสำรวจมาแต่ละครัวเรือนว่ามีรายได้เท่าใด จากนั้นจึงนำรายได้ของกลุ่มตัวอย่างมาคำนวณเพื่อจัดทำเป็นสัมประสิทธิ์ความเสมอภาค หรือ จีนี (Gini coefficient) เป็นวิธีวัดการกระจายของข้อมูลทางสถิติอย่างหนึ่งที่นิยมใช้เป็นตัวบ่งชี้ความเหลื่อมล้ำของการกระจายรายได้หรือการกระจายความร่ำรวย
“ถ้ามองจากฐานข้อมูลเราจะพบว่าตัวเลขดูดีขึ้น ความเหลื่อมล้ำลดลง แต่คำถามคือเราเชื่อข้อมูลนี้ได้มากน้อยแค่ไหน สำนักงานสถิติสำรวจคนครบทุกกลุ่มไหม เพราะโดยการเก็บข้อมูลซึ่งเป็นการสำรวจตามครัวเรือน คนที่รวยหรือรวยมากๆ มักจะไม่อยู่ในกลุ่มตัวอย่าง ตรงข้ามกับงานสำรวจของ Forbes ซึ่งก็ได้สำรวจคนระดับมหาเศรษฐีในไทย เราก็มักจะเห็นว่าความมั่งคั่งของคนกลุ่มนี้โตเร็วจริงๆ”
งานวิจัยของอาจารย์วิมุต จึงนำข้อมูลอื่นมาประกอบเพื่อหาความเหลื่อมล้ำที่แท้จริงของประเทศไทย โดยการนำข้อมูลของกรมสรรพากรในด้านของกลุ่มรายได้กับการเสียภาษี เพื่อดูว่าผู้ที่มีรายได้ระดับสูงเสียภาษีมากน้อยเท่าใด ซึ่งผลปรากฏว่าความเหลื่อมล้ำในไทยไม่ได้ลดลงอย่างที่ตัวเลขทางการระบุ
“การถือครองทรัพย์สินของคนรวยก็ยังสูงมาก สะท้อนว่าความเหลื่อมล้ำที่แท้จริงในประเทศไทยมันไม่ได้ลดลงอย่างที่คิด”
งานวิจัยของอาจารย์วิมุต ยังวิเคราะห์ไปถึงการเข้าถึงสวัสดิการทางสังคมในมิติด้านการศึกษาและด้านการบริการทางสุขภาพ ซึ่งแม้จะมีตัวเลขของผู้ที่ได้รับสิทธิมากขึ้น แต่ตัวเลขในเชิงคุณภาพก็ยังเป็นปัญหาที่ต้องแก้ไข
“คนไทยยุคปัจจุบันได้รับการศึกษามากกว่าคนรุ่นก่อน การรักษาพยาบาลก็เข้าถึงมากขึ้น แต่ในเรื่องคุณภาพก็ยังเป็นปัญหา คนจนแม้จะได้รับการศึกษาจำนวนปีเท่ากับคนรวย แต่คุณภาพการศึกษาก็ยังสู้ลูกคนรวยไม่ได้ ขณะที่การบริการรักษาทางการแพทย์ก็ยังกระจุกตัวในกรุงเทพฯ มากกว่าในต่างจังหวัด”
อาจารย์วิมุตกล่าวต่ออีกว่า ความเหลื่อมล้ำทางด้านเศรษฐกิจของไทยสืบเนื่องมาจากนโยบายของภาครัฐมักเอื้อประโยชน์ต่อผู้มีอำนาจ ไม่สนับสนุนนโยบายที่ส่งผลกระทบต่อความมั่งคั่งของตนเอง ดังนั้นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยในการลดปัญหาความเหลื่อมล้ำคือการจัดสรรภาษีที่เป็นธรรม ตามหลักการจัดสรรรายได้จากคนรวยสู่คนจน ซึ่ง ณ ปัจจุบัน ภาษีของไทยยังไม่ได้ทำหน้าที่ดังกล่าว
“ตอนนี้ภาษียังไม่ได้ทำหน้าที่ตรงนี้ ส่วนใหญ่มีนโยบายลดหย่อนภาษีจำนวนมากซึ่งเอื้อต่อคนรวย ทำให้เกิดการกระจุกตัวของที่ดินและความมั่งคั่ง ภาษีควรทำหน้าที่ในการกระจายความมั่งคั่ง ซึ่งต้องนำไปใช้ประโยชน์สูงสุดแก่คนในประเทศ”
อย่างไรก็ตาม อาจารย์วิมุตยังกังวลเรื่องความโปร่งใสในการบริหารจัดการภาษี “ภาครัฐไม่ได้แสดงให้เห็นเลยว่าสามารถจัดการเงินให้มีความโปร่งใส ดังนั้นภาครัฐต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าตนเองมีประสิทธิภาพในการจัดเก็บและนำไปใช้ ประชาชนก็จะมีความเชื่อมั่นและเกิดความพร้อมใจที่จะจ่ายภาษี ถ้าทำแบบนี้ได้จริง การจัดสรรความมั่งคั่งก็ทำได้มั่นคงมากขึ้น”
อาจารย์วิมุตชี้ว่าความเหลื่อมล้ำที่กำลังเผชิญอยู่จริงในประเทศไทยกำลังทวีความรุนแรงกว่าที่ปรากฏเป็นตัวเลขสถิติ ดังนั้นหากปล่อยทิ้งไว้ ไม่แก้ไข ก็อาจจะนำไปสู่ความตึงเครียด ความรุนแรง อย่างที่เคยประสบมาก่อนในประวัติศาสตร์ไทย
“ในภาวะความเหลื่อมล้ำแบบนี้ หากรัฐบาลไทยยังไม่ตระหนักและเริ่มต้นที่จะปฏิรูปการกระจายรายได้ แต่ยังคงรักษาฐานเสียงด้วยนโยบายระยะสั้น เน้นซื้อใจและซื้อความนิยมจากประชาชน คนชั้นกลางและชั้นล่างที่ได้รับผลกระทบหนัก ก็อาจจะลุกขึ้นมาเรียกร้อง ผลักดันเพื่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงและอาจจนำไปสู่ความรุนแรงอีกครั้งได้”
จุฬาฯ มีลักษณะของความเป็นพี่น้อง ความอบอุ่น เป็นสังคมที่อยากอนุรักษ์ไว้ ศาสตราจารย์ เภสัชกรหญิง ดร.พรอนงค์ อร่ามวิทย์ คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
จุฬาฯ มีลักษณะของความเป็นพี่น้อง ความอบอุ่น เป็นสังคมที่อยากอนุรักษ์ไว้
ศาสตราจารย์ เภสัชกรหญิง ดร.พรอนงค์ อร่ามวิทย์ คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีให้กับท่าน และเพื่อพัฒนาคุณภาพการให้บริการเว็บไซต์ที่ตรงต่อความต้องการของท่านมากยิ่งขึ้น ท่านสามารถทราบรายละเอียดเกี่ยวกับคุกกี้ได้ที่ นโยบายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และท่านสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า
ท่านสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น
ประเภทของคุกกี้ที่มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้ท่านสามารถใช้เว็บไซต์ได้อย่างเป็นปกติ ท่านไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลพฤติกรรมการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน โดยมีจุดประสงค์คือนำข้อมูลมาวิเคราะห์เพื่อปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ให้มีคุณภาพ และสร้างประสบการณ์ที่ดีกับผู้ใช้งาน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด หากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราอาจไม่สามารถวัดผลเพื่อการปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ให้ดีขึ้นได้ รายละเอียดคุกกี้