รู้จักจุฬาฯ
การบริหาร
อัตลักษณ์มหาวิทยาลัย
Green University
Sustainability
ติดต่อจุฬาฯ
บริจาคให้จุฬาฯ
หลักสูตร
การสมัครเข้าศึกษา
หน่วยงานการศึกษา
บริการนิสิต
บริการวิชาการ
บริการทางการแพทย์
บริการตรวจวิเคราะห์คุณภาพ
สารสนเทศและการสื่อสาร
พื้นที่สร้างสรรค์
ข่าวสารและความเคลื่อนไหว
วารสารจุฬาฯ
สาระความรู้
Highlights
8 กรกฎาคม 2567
ผู้เขียน ศุภวรรณ พิพิธสมบัติ
ร่วมสืบสานมรดกทางวัฒนธรรมและส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต สำนักบริหารศิลปวัฒนธรรม จุฬาฯ แนะนำกิจกรรมและแหล่งเรียนรู้ในจุฬาฯ ที่ทุกคนเข้าถึงได้ ไม่ว่าจะเป็นการเดินชมสถาปัตยกรรม พิพิธภัณฑ์ และเพลิดเพลินกับการแสดงดนตรีไทยและสากล
กรุงเทพมหานครเพิ่งได้รับการจัดอันดับจาก World of Statistics[1] ให้เป็นเมืองที่มีผู้มาเยี่ยมชมมากที่สุดในโลกประจำปี 2567 ด้วยจำนวนผู้มาเยือน 22.78 ล้านคน! เมื่อถามถึงเสน่ห์ของกรุงเทพฯ แล้ว หลายคนมักจะกล่าวถึงการผสมผสานความแตกต่างและความหลากหลายให้อยู่ร่วมกันได้อย่างลงตัว ซึ่งช่วยสร้างสีสันและความมีชีวิตชีวาให้กับเมือง อย่างเช่นย่านกลางเมือง จุฬาฯ บรรทัดทอง สามย่าน และสยามสแควร์ ที่มีทั้งความล้ำสมัยและความเก่าแก่ อาคารสมัยใหม่และตึกสไตล์โคโลเนียล กิจกรรมทางวัฒนธรรมร่วมสมัยและไทยโบราณ ตลอดจนอาหารนานาชาติและไทยสตรีทฟู้ดรสเด็ด ฯลฯ จึงไม่น่าแปลกใจที่นักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกจะนิยมมาแวะชอป ชิม ชมกิจกรรมและวิถีชีวิตคนเมืองในย่านนี้
และหนึ่งในเสน่ห์ของย่านนี้ที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาดคือ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นอกจากจะเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกและอันดับหนึ่งของประเทศแล้ว จุฬาฯ ยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวเพื่อการเรียนรู้หลากหลายด้านที่ใคร ๆ ก็มาเข้ามาเรียนรู้ได้
“จุฬาฯ เป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยมรดกทางวัฒนธรรมของชาติและวิถีชีวิตแบบไทย ๆ ที่นี่มีความงดงามทางสถาปัตยกรรมให้เดินเยี่ยมชม มีการแสดงทั้งดนตรีไทยและดนตรีตะวันตก การแสดงงานศิลปะตั้งแต่ระดับนิสิตจนถึงนานาชาติ พิพิธภัณฑ์ความรู้หลายด้าน และเมื่อเดินออกมานอกรั้วมหาวิทยาลัยก็มีร้านอาหารสตรีทฟู้ดแบบไทย ๆ ย่านบรรทัดทอง หอศิลป์ คาเฟ่ ห้างสรรพสินค้าชั้นนำ วัดวาอารามทั้งพุทธเถรวาท มหายาน โบสถ์ และศาลเจ้าจีน” คุณกรรชิต จิตระทาน ผู้อำนวยการสำนักบริหารศิลปวัฒนธรรม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยกล่าวถึงสีสันของจุฬาฯ และพื้นที่ใกล้เคียงโดยรอบ ที่อยากเชิญชวนให้นักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างประเทศมาสัมผัส
ในฐานะผู้บริหารสำนักบริหารศิลปวัฒนธรรม จุฬาฯ ซึ่งมีภารกิจในการทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม สร้างองค์ความรู้ และเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรม คุณกรรชิตแสดงทัศนะเกี่ยวกับการรักษารากเหง้าทางวัฒนธรรมว่า “เรื่องนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของการขึ้นทะเบียนโบราณวัตถุ โบราณสถาน แต่เป็นการทำให้ศิลปวัฒนธรรมไทยผสมผสานและอยู่ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของวิถีการเรียนรู้ของผู้คน จุฬาฯ จึงพร้อมเปิดบ้านต้อนรับทุกคนให้มาเที่ยว เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมไทย”
พร้อมกันนี้ คุณกรรชิตได้ให้แนวกิจกรรมในจุฬาฯ ที่ผู้สนใจสามารถเลือกมาเยี่ยมชมและเรียนรู้ได้ตามชอบ ดังนี้
ในฐานะมหาวิทยาลัยแห่งแรกของประเทศที่ก่อตั้งมาแล้ว 107 ปี จุฬาฯ มีอาคารโบราณและร่วมสมัยสำคัญ ๆ หลายแห่ง ที่ได้รับรางวัลด้านการอนุรักษ์สถาปัตยกรรมดีเด่น และเปิดให้ผู้สนใจเดินเข้ามาชื่นชมกับบรรยากาศและความงามของตัวอาคารได้
แต่ก่อนที่จะทัวร์อาคารโบราณที่มีความงามทางสถาปัตยกรรม คุณกรรชิตชวนให้ผู้มาเยือนได้แวะสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระปิยมหาราชและสมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า หรือเรียกกันโดยทั่วไปว่า พระบรมราชานุสาวรีย์ 2 รัชกาล ที่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่หน้าหอประชุมจุฬาฯ และเสาธงชาติไทย
“นิสิต นักเรียนและผู้ปกครองหลายคนนิยมมาไหว้ขอพรที่อนุสาวรีย์แห่งนี้ เพี่อให้สอบผ่าน สอบได้คะแนนดี สอบติดโรงเรียนสาธิตจุฬาฯ และจุฬาฯ วันที่นิยมมาไหว้ขอพรก็เป็นวันอังคาร เพราะเป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของสมเด็จพระปิยมหาราช (วันที่ 20 กันยายน พ.ศ.2396) และมักนำดอกกุหลาบมาเป็นเครื่องสักการะบูชา” คุณกรรชิตเล่าวิถีของผู้คนที่รู้สึกเชื่อมโยงและยังคงระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตริย์ทั้งสองพระองค์
พระบรมราชานุสาวรีย์สองรัชกาลสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2530 ในวาระครบรอบ 70 ปี แห่งการสถาปนาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงเริ่มก่อรากฐานจากโรงเรียนมหาเล็ก และพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระผู้สถาปนาจุฬาฯ ขึ้นเป็นสถาบันอุดมศึกษาแห่งแรกของชาวสยาม
ปัจจุบัน ที่นี่เป็นสถานที่ประกอบพิธีสำคัญของจุฬาฯ เช่น พิธีปฐมนิเทศเมื่อแรกเข้าเป็นนิสิตจุฬาฯ พิธีวางพานพุ่มในวันสถาปามหาวิทยาลัย และโอกาสสำคัญๆอีกหลายกิจกรรม
หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตั้งอยู่ด้านหลังพระบรมราชานุสาวรีย์สองรัชกาล สร้างเมื่อ พ.ศ.2480 – 2482 พระสาโรชรัตรนิมมานก์เป็นสถาปนิกผู้ออกแบบ โดยขยายแบบจากพระอุโบสถวัดราชาธิวาส หอประชุมเป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็กรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า หลังคามุงกระเบื้องเคลือบสี ภายในเป็นโถงชั้นเดียว ด้านหน้ายกพื้นเป็นเวที ด้านหลังและด้านข้างเป็นชั้นลอยมีอัฒจันทร์ ชั้นล่างมีห้องพัก ชั้นบนเป็นห้องประชุม พร้อมระเบียง 3 ด้าน มีบันไดลงทั้งภายในและภายนอกอาคาร ด้วยการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์นี้ทำให้หอประชุม จุฬาฯ ได้รับรางวัลประเภทอาคารอนุรักษ์ศิลปสถาปัตยกรรมดีเด่น จากสมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์ประจำ พ.ศ. 2545
“หอประชุม จุฬาฯ เป็นสัญลักษณ์ที่โดดเด่นเคียงคู่มหาวิทยาลัย ชาวจุฬาฯ ทุกคนล้วนผูกพันกับสถานที่นี้ นับตั้งแต่ก้าวเข้าสู่รั้วจามจุรี เริ่มด้วยพิธีปฐมนิเทศนิสิตใหม่ พิธีไหว้ครู จนถึงพิธีพระราชทานปริญญาบัตรแก่บัณฑิตผู้สำเร็จการศึกษา นอกจากนี้ยังใช้จัดกิจกรรมในวาระสำคัญต่าง ๆ การแสดงละครเวที การแสดงดนตรี การประชุมสัมมนา ตลอดจนรับรองอาคันตุกะและพระราชวงศ์ทั้งไทยและต่างประเทศอยู่เสมอ”
กลุ่มอาคารเทวาลัย นับได้ว่าเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของจุฬาฯ ทั้งนิสิตและผู้มาเยือนมักจะถ่ายรูปกับกลุ่มอาคารเทวาลัยเพื่อเป็นที่ระลึกในการมาเรียนและมาเยี่ยมจุฬาฯ หลายคนบอกว่าที่นี่มีความสวยสง่า ขลังและศักดิ์สิทธิ์คล้าย “วัด”
กลุ่มอาคารเทวาลัยประกอบด้วย 2 อาคาร ได้แก่ อาคารมหาจุฬาลงกรณ์ เป็นสถานที่จัดงานพิธีการ และรับรองอาคันตุกะของมหาวิทยาลัย และอาคารมหาวชิราวุธ ซึ่งปัจจุบันยังใช้เป็นห้องสมุด และห้องทำงานของคณะอักษรศาสตร์
อาคารมหาจุฬาลงกรณ์ เป็นอาคารหลังแรกของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2457 นายช่างชาวเยอรมัน ดร.คาร์ล เดอห์ริง (Dr.Karl Dohring) และนายช่างชาวอังกฤษ นายเอ็ดเวิร์ด ฮีลีย์ (Mr.Edward Healey) ร่วมกันออกแบบ โดยนำศิลปะไทยโบราณที่สุโขทัยและสวรรคโลกมาประยุกต์เป็นแบบอาคาร
เดิมที พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้สร้างอาคารนี้เพื่อเป็นตึกบัญชาการของโรงเรียนข้าราชการพลเรือนของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่ต่อมา ในวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ.2459 ทรงมีพระบรมราชโองการสถาปนา “โรงเรียนข้าราชการพลเรือนของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว” เป็น “จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย” อาคารดังกล่าวจึงใช้เป็นอาคารเรียนสำหรับคณะอักษรศาสตร์และวิทยาศาสตร์ และได้เปลี่ยนชื่อจาก “ตึกบัญชาการ” มาเป็น “ตึกอักษรศาสตร์ 1”
ด้วยประวัติและเอกลักษณ์ทางสถาปัตยกรรมที่โดดเด่น อาคารมหาจุฬาลงกรณ์ได้รับรางวัลอาคารอนุรักษ์ดีเด่น จากสมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์ เมื่อ พ.ศ. 2530
อาคารมหาวชิราวุธ สร้างในปี พ.ศ. 2496- 2499 เพื่อเป็นอาคารเรียนของคณะอักษรศาสตร์ สถาปนิกผู้ออกแบบคือศาสตราจารย์บุญยง นิโครธานนท์ อาคารมีลักษณะคล้ายอาคารมหาจุฬาลงกรณ์ แต่มีห้องใต้ดิน ห้องใต้หลังคา และมีหน้าจั่วเป็นกระจกเพื่อรับแสงที่ส่องเข้ามายังห้องใต้หลังคา อาคารประดับด้วยลายปูนปั้นดอกบัว ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของพระพุทธศาสนา เครื่องหมายแห่งปัญญา เพื่อจะสื่อถึงหน้าที่ของครูบาอาจารย์ที่จะต้องช่วยให้บัวปริ่มน้ำ (นิสิต) ขึ้นบานเหนือน้ำ
เรือนภะรตราชา สร้างแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2460 ในสมัยรัชกาลที่ 6 เพื่อเป็นบ้านพักของผู้บริหารและอาจารย์ต่างชาติ ต่อมาเป็นอาคารเรียนคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ และปัจจุบันเป็นสถานที่ใช้ในกิจกรรมการรับรองแขกของมหาวิทยาลัย
อาคารแห่งนี้ตั้งอยู่ริมถนนพญาไท เป็นอาคารครึ่งตึกครึ่งไม้ สองชั้นครึ่ง รูปแบบสถาปัตยกรรมโคโลเนียล มีลักษณะเด่นคือใต้ถุนสูงโล่ง เสาก่ออิฐถือปูนขนาดใหญ่ หลังคาทรงปั้นหยามุมชันทรงมะนิลา เชิงชายที่หน้าจั่วประดับด้วยไม้ฉลุ หน้าต่างบานกระทุ้งแบบมีเกล็ดไม้ซ้อนในบาน ชั้นบนสุดมีห้องคล้ายหอสูง เรือนไม้แห่งนี้ได้รับรางวัลประเภทอาคารอนุรักษ์ศิลปสถาปัตยกรรมดีเด่น ประจำปี พ.ศ. 2540 จากสมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์
เรือนจุฬานฤมิต สร้างขึ้นต่อเนื่องกับเรือนภะรตราชา เพื่อใช้สำหรับการประชุมและงานเลี้ยงรับรองต่าง ๆ ซึ่งเรือนนี้จะมีสวนและทางเดินเชื่อมกับเรือนภะรตราชา
หอประวัติจุฬาฯ หรือตึกจักรพงษ์ เดิมเป็นอาคารของสโมสรนิสิต และได้เปลี่ยนเป็นหอประวัติจุฬาฯ ซึ่งเป็นที่จัดแสดงนิทรรศการทางประวัติศาสตร์และสิ่งทรงคุณค่าของจุฬาฯ เช่น พระเกี้ยวจำลอง ภาพถ่ายโบราณ ชุดครุย จดหมายเหตุ เหรียญตราที่ระลึกการสถาปนา เป็นต้น อาคารนี้สร้างปี พ.ศ.2473 – 2475 มีลักษณะเป็นอาคารไม้สองชั้น ก่ออิฐถือปูน หน้าจั่วของอาคารทั้ง 4 ด้านมีรูปปูนปั้นเป็นจักรและกระบอง อันเป็นตราสัญลักษณ์ของราชสกุลจักรพงษ์ ซึ่งบริจาคเงินในการก่อสร้างอาคารหลังนี้
เรือนไทยตั้งอยู่ระหว่างหอพักนิสิต และอาคารจามจุรี 10 เป็นหมู่เรือนไทยภาคกลางและศาลากลางน้ำ สร้างขึ้นตามขนบการสร้างเรือนไทยโบราณ ภายในประดิษฐานพระพุทธรูป และจัดแสดงเครื่องดนตรีไทย ศิลปวัตถุ โบราณวัตถุ และเครื่องจักสาน นอกจากนนี้ เรือนไทยยังเป็นสถานที่จัดกิจกรรมทางวัฒนธรรม ดนตรี และนาฏยศิลป์ไทยด้วย (อ่านรายละเอียดได้ที่ https://www.cuartculture.chula.ac.th/services/reun-thai/)
อาคารจามจุรี 1 และจามจุรี 2 เป็นตึกคู่แฝด สีงาช้าง ตั้งโดดเด่นอยู่ใกล้ประตูใหญ่จุฬาฯ ริมถนนพญาไท ฝั่งสำนักงานอธิการบดี สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2510
ผู้สนใจชมความงามทางสถาปัตยกรรมของอาคารต่าง ๆ ในจุฬาฯ สามารถเข้าไปดูแผนที่ของอาคารต่าง ๆ ได้ที่ https://www.chula.ac.th/contact/map-and-directions/
ภายในอาณาบริเวณ 1,153 ไร่ของจุฬาฯ มีพิพิธภัณฑ์มากถึง 16 แห่ง ซึ่งสำนักบริหารศิลปวัฒนธรรม จุฬาฯ ได้ซ่อมแซมอาคารและเปิดให้คนทั่วไปเข้าชมได้แล้ว โดยจัดเป็นโซนพิพิธภัณฑ์เพื่อให้ผู้สนใจเดินเที่ยวชมได้สะดวก ดังนี้
โซนอาคารศิลปวัฒนธรรม(ตึกเคมี1 เดิม) มี 3 พิพิธภัณฑ์ ได้แก่
พิพิธภัณฑ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นพื้นที่จัดแสดงประวัติความเป็นมาของ “จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย” สถาบันอุดมศึกษาแห่งแรกของไทย ที่นี่จัดแสดงในลักษณะ Modern and narrative museum (อ่านรายละเอียดได้ที่ https://www.chula.ac.th/museum/213/)
นิทรรศสถาน จัดแสดงนิทรรศการและผลงานศิลปะของศิลปินที่มีชื่อเสียง หรือแสดงผลงานของสถานเอกอัครราชทูตประเทศต่าง ๆ ศิลปินรับเชิญ และประชาคมจุฬาฯ ที่มีชื่อเสียงด้านศิลปะ โดยจะจัดเป็นนิทรรศการหมุนเวียนตลอดทั้งปี และเปิดให้คนทั่วไปเข้าชมฟรี (อ่านรายละเอียดได้ที่ https://www.chula.ac.th/museum/701/)
หอสมุดดนตรีไทย พิพิธภัณฑ์เครื่องดนตรีอันทรงคุณค่า ที่บริการสืบค้นด้านดนตรี และมีเพลงกว่า 16,000 เพลง ข้อมูลวีดิทัศน์เกี่ยวกับดนตรีและนาฏศิลป์ มากว่า 400 รายการ อีกทั้งมีมุมอ่านหนังสือและงานวิจัยทางดนตรีกว่า 1,500 เล่ม (อ่านรายละเอียดได้ที่ https://www.chula.ac.th/museum/705/)
โซนคณะอักษรศาสตร์ มี 2 พิพิธภัณฑ์ ได้แก่
หอพระไตรปิฎก คลังพระไตรปิฎกนานาชาติ ที่รวบรวมพระธรรมวินัยของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คัมภีร์พระไตรปิฎกที่บันทึกด้วยอักษรของชนชาติต่าง ๆ พร้อมพระคัมภีร์บริวารครบชุด กว่า 2,000 เล่ม อีกทั้งยังมีการจัดกิจกรรมรูปแบบต่าง ๆ เปิดพื้นที่ให้สาธารณชนได้ร่วมสนทนา และอภิปรายในหัวข้อที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาอีกด้วย (อ่านรายละเอียดได้ที่ https://www.chula.ac.th/museum/711/)
พิพิธภัณฑ์ไท-กะได พื้นที่จัดแสดงเครื่องแต่งกาย ผ้าปัก ผ้าทอ เครื่องประดับ สิ่งของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันของกลุ่มชาติพันธุ์ไท-กะได ซึ่งเป็นกลุ่มตระกูลภาษาที่ใหญ่มากตระกูลหนึ่งของโลก (อ่านรายละเอียดได้ที่ https://www.chula.ac.th/museum/712/)
พิพิธภัณฑสถานธรรมชาติวิทยา เป็นห้องนิทรรศการขนาดใหญ่ที่จัดแสดงตัวอย่างสัตว์บก สัตว์น้ำ สัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก สัตว์เลื้อยคลาน ซึ่งแต่ละตัวอย่างได้รับการเก็บรักษาด้วยวิธีการที่เหมาะสมมีทั้งการจัดแสดงโครงกระดูก การสตัฟฟ์ การดอง ในแอลกอฮอล์หรือฟอร์มาลิน ที่นี่ถือเป็นแหล่งรวบรวมองค์ความรู้ด้านชีววิทยาที่ครบถ้วนและเป็นระบบมากที่สุดแห่งหนึ่งของไทย (อ่านรายละเอียดได้ที่ https://www.chula.ac.th/museum/757/)
พิพิธภัณฑ์หอยทากของไทย นับเป็นพิพิธภัณฑ์หอยทากบกแห่งแรกและแห่งเดียวในประเทศไทย ที่นี่มีหอยทากที่น่าสนใจมากมาย เช่น หอยทากจิ๋วปากแตร (Pupilid Microsnails) ซึ่งมีขนาดเล็กมากจนต้องชมผ่านแว่นขยาย และหอยทากที่พบได้ยาก เช่น หอยมรกต หอยทากจิ๋วเขาวงกต เป็นต้น (อ่านรายละเอียดได้ที่ https://www.chula.ac.th/museum/758/)
พิพิธภัณฑ์เต่าและตะพาบ จัดเป็นพิพิธภัณฑ์เต่าและตะพาพที่สมบูรณ์ที่สุดในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่นี่จัดแสดงตัวอย่างเต่าบก เต่าทะเล เต่าน้ำจืด และตะพาบทุกชนิดที่พบในประเทศไทย รวมทั้งตัวอย่างเต่าจะทั่วโลก (อ่านรายละเอียดได้ที่ https://www.chula.ac.th/museum/759/)
พิพิธภัณฑ์แมลง ห้องจัดแสดงนี้รวบรวมแมลงและไรกว่า 5,000 ตัวอย่าง โดยแบ่งหมวดหมู่ตามอนุกรมวิธาน (Taxonomy) นอกจากนี้ยังจำลองที่อยู่อาศัยของแมลงต่างๆ ในธรรมชาติ เช่น รังผึ้ง รังมดและชันโรงตามธรรมชาติ (อ่านรายละเอียดได้ที่ https://www.chula.ac.th/museum/760/)
พิพิธภัณฑ์สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง ห้องนิทรรศการนี้มีสัตว์ที่โดดเด่นที่สุดคือ ปูเจ้าพ่อหลวง (Potamonbhumibol Naiyanetr) ปูน้ำจืดตัวใหญ่ที่สุดในประเทศไทย นอกจากนี้ยังมีตัวอย่างสัตว์ไม่มีกระดูกสันสัน ได้แก่ กุ้งและปูที่หายากในประเทศไทย ปูมีพิษ ปูน้ำจืดและกั้งน้ำจืดชนิดใหม่ของโลกที่พบในประเทศไทย ไส้เดือนดินที่ยาวที่สุดในไทย หมึกกระดอง หมึกกล้วยที่ใหญ่ที่สุดในอ่าวไทย เป็นต้น (อ่านรายละเอียดได้ที่ https://www.chula.ac.th/museum/761/)
พิพิธภัณฑ์ธรณีวิทยา จัดแสดงตัวอย่างหิน แร่ และซากดึกดำบรรพ์ สะเก็ดดาว นิทรรศการการกำเนิดโลก การสำรวจปิโตรเลียม การทำเหมืองแร่ทองคำ (อ่านรายละเอียดได้ที่ https://www.chula.ac.th/museum/762/)
พิพิธภัณฑ์พืชศาสตราจารย์กสิน สุวตะพันธุ์ พิพิธภัณฑ์พืชฯ แห่งนี้มีตัวอย่างพืชประมาณ 22,650 ตัวอย่าง ซึ่งเป็นพืชกลุ่มไม้ดอกกว่า 16,000 ตัวอย่าง และยังมีตัวอย่างเฟิร์น ไบรโอไฟท์ ไลเคนส์ และสาหร่าย นอกจากนี้ ได้จัดแสดงตัวอย่างพืชที่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจและพฤกษศาสตร์พื้นบ้านด้วย (อ่านรายละเอียดได้ที่ https://www.chula.ac.th/museum/763/)
พิพิธภัณฑ์เทคโนโลยีทางภาพ เป็นพิพิธภัณฑ์จัดแสดงกล้อง ภาพถ่ายเป็นการเฉพาะแห่งแรกของประเทศไทยและภูมิภาคเอเชีย โดยจัดแสดงถึงวิวัฒนาการของกล้องถ่ายภาพ และการถ่ายภาพตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน (อ่านรายละเอียดได้ที่ https://www.chula.ac.th/museum/764/)
พิพิธภัณฑ์พืชมีชีวิต หรือ Living Plant Museum เป็นแหล่งเรียนรู้ตลอดชีวิตที่ทำการวิจัยพืชในระบบควบคุมอุณหภูมิ (Evaporative cooling system) ภายในอาคารเรือนกระจก จัดแสดงความหลากหลายและวิวัฒนาการของพืชในรูปแบบที่พืชยังมีชีวิต มีพรรณไม้ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ไม่ต่ำกว่า 200 ชนิด โดยแบ่งการจัดแสดงเป็น 6 รูปแบบ ประกอบด้วย นิทรรศการความหลากหลายของพืชในป่าดิบชื้นหรือป่าฝนเขตร้อน พืชทนแล้ง พืชน้ำ พืชกลุ่มเทอริโดไฟต์ พืชเมล็ดเปลือย และวิวัฒนาการของพืชดอก (อ่านรายละเอียดได้ที่ https://www.chula.ac.th/news/134268/)
โซนคณะทันตแพทยศาสตร์ มีพิพิธภัณฑ์ 2 แห่งที่มีสิ่งล้ำค่าชมยากในประเทศไทย ได้แก่
พิพิธภัณฑสถานวาจวิทยาวัฑฒน์ จัดแสดงประวัติศาสตร์ทันตกรรมไทย อุปกรณ์ทันตกรรม ลักษณะฟันของคนไทย วัสดุทันตกรรมและวิธีการรักษาผู้ป่วยโดยทันตแพทย์รุ่นแรก ๆ นอกจากนี้ สมบัติล้ำค่าของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้คือ หลอดยาสีพระทนต์พระราชทาน ยูนิตทำฟัน และพระเครื่องที่มีพระทนต์ของรัชกาลที่ 9 เป็นส่วนผสม (อ่านรายละเอียดได้ที่ https://www.chula.ac.th/museum/765/)
พิพิธภัณฑ์ร่างกายมนุษย์ นับเป็น 1 ใน 11 พิพิธภัณฑ์ของโลก และเป็นแห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่จัดแสดงร่างกาย และชิ้นส่วนมนุษย์แบบ 3 มิติ ด้วยเทคนิคพลาสติเนชัน (Plastination) ซึ่งเป็นเทคนิคที่ใช้การแทนที่น้ำและไขมันในเนื้อเยื่อด้วยสารพลาสติกเหลว ทำให้ไม่มีกลิ่นเหม็น ไม่มีการเน่าสลาย และสามารถคงสภาพอยู่ได้นาน (อ่านรายละเอียดได้ที่ https://www.chula.ac.th/museum/766/)
โซนคณะเภสัชศาสตร์ มีพิพิธภัณฑ์สมุนไพร ที่รวบรวม อนุรักษ์ จัดแสดงตัวอย่างสมุนไพรทั้งของไทยและต่างประเทศ ตำรายา เครื่องมือในการผลิตยาตั้งแต่สมัยโบราณถึงปัจจุบัน เพื่อเป็นแหล่งอ้างอิงและศึกษาหาความรู้ (อ่านรายละเอียดได้ที่ https://www.chula.ac.th/museum/767/)
พิพิธภัณฑ์ในรั้วจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยส่วนใหญ่มักเปิดทำการ วันจันทร์-วันศุกร์ เวลา9.00น.-16.00น. จุฬาฯ นอกจากนี้ จุฬาฯ ยังมีพิพิธภัณฑ์ในต่างจังหวัดด้วย ได้แก่ พิพิธภัณฑ์พระตำหนักดาราภิรมย์ ที่อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ และพิพิธภัณฑ์ชลทัศนสถาน พิพิธภัณฑ์พระจุฑาธุชราชฐาน ที่ตั้งอยู่บนเกาะสีชัง จังหวัดชลบุรี พิพิธภัณฑ์ทั้งสองแห่งเปิดทำการตั้งแต่วันพุธ-วันอาทิตย์ เวลา 9.00น.-17.00น.
ไม่ว่าเทคโนโลยีจะพัฒนาหมุนเวียนเปลี่ยนผ่านจากยุคสู่ยุคเพียงใด ตั้งแต่การฟังเพลงจากแผ่นเสียง เทป ซีดี เว็บไซต์ จนไปถึงแอปพลิเคชันสตรีมมิง แต่การซื้อตั๋วชมการแสดงสดยังคงเสน่ห์สำหรับผู้ที่ชื่นชอบในเสียงดนตรีอยู่เสมอ และที่จุฬาฯ ก็มีการแสดงดนตรีสดให้รับชมรับฟังเป็นประจำทุกเดือน ไม่ว่าจะเป็นการแสดงดนตรีไทย ดนตรีคลาสสิก ดนตรีไทยร่วมสมัย การร้องประสานเสียง ไปจนถึงการแสดงพิเศษของคณะดนตรีจากต่างประเทศ (ติดตามการจัดกิจกรรมดนตรีได้ที่ https://www.cuartculture.chula.ac.th/activities/)
“หอแสดงดนตรี อาคารศิลปวัฒนธรรม จุฬาฯ เป็นหนึ่งในสถานที่ที่มีการแสดงดนตรีระดับมาตรฐานสากล ทั้งระบบแสง สี เสียง โดยหอแสดงดนตรีแห่งนี้รองรับผู้ชมได้ถึง 240 ที่นั่ง ทุกเดือนจะมีการจัดแสดงดนตรีในชื่อ “ฟังดนตรีที่จุฬาฯ” เป็นการแสดงดนตรีที่จัดขึ้นทุกวันศุกร์แรกของเดือน และกิจกรรมดนตรีอื่นๆ อีก 3-5 ครั้งต่อเดือน” คุณกรรชิตกล่าว
นอกจากการแสดงดนตรีที่หลากหลายเป็นประจำทุกเดือนแล้ว ยังมีรายการแสดงดนตรีในวาระพิเศษซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี ได้แก่ คอนเสิร์ตใหญ่ของ CU Symphony Orchestra จัดขึ้นปีละสองครั้ง ณ หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และการแสดงของวงดนตรีไทยปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์ ซึ่งจัดในโอกาสวันคล้ายวันสถาปนาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วันที่ 26 มีนาคม ของทุกปี และเปิดให้ประชาคมจุฬาฯ และบุคคลทั่วไปได้เข้าชมโดยไม่มีค่าใช้จ่าย
“การแสดงของวงดนตรีไทยปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์หาฟังได้ยาก แต่มีให้รับชมรับฟังที่จุฬาฯ เป็นการแสดงที่ควรมาฟังอย่างยิ่งอย่างน้อยครั้งหนึ่งในชีวิต” คุณกรรชิตกล่าว พร้อมอธิบายถึงความพิเศษของการแสดงดนตรีประเภทนี้ว่า “วงดนตรีไทยปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 แต่ขาดการสืบทอดไปนานจนแทบจะสูญหาย จุฬาฯ ได้ค้นคว้าข้อมูลและเชิญครูเพลงที่เคยบรรเลง และยังมีชีวิตอยู่มาสืบต่อลมหายใจของมรดกทางดนตรีของชาติ สั่งสอนนิสิตรุ่นใหม่ จัดทำเป็นหลักสูตร เปิดการเรียนการสอนขึ้นในคณะศิลปกรรมศาสตร์ เพื่อให้นิสิตได้รับความรู้ สืบทอดและเผยแพร่มรดกทางดนตรีของชาติต่อไป”
จุดเด่นของวงปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์อยู่ที่เสียงดนตรีที่ทุ้มนุ่มนวล เนื่องจากในวงปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์จะไม่ใช้เครื่องดนตรีที่มีเสียงดัง แกร่งกร้าว เล็กแหลม หรือเสียงสูงมาก ๆ เลย คุณกรรชิตกล่าว
กิจกรรมการเรียนรู้นอกตำราในจุฬาฯ ยังมีอีกมากและหลากหลายตลอดทั้งปี ซึ่งผู้สนใจสามารถติดตามข่าวสารได้ที่เว็บไซต์สำนักบริหารศิลปวัฒนธรรม จุฬาฯ : https://www.cuartculture.chula.ac.th/ โทรศัพท์ 0 2218 3621 และ Line: CU ART CULTURE และ Facebook : https://www.facebook.com/cuartculture
“เพียงมาเดินเยี่ยมชมอาคารและพิพิธภัณฑ์ต่าง ๆ ฟังดนตรี และมีความสุข ชื่นชมและเห็นคุณค่ามรดกทางวัฒนธรรมเหล่านี้ ก็นับได้ว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของการสืบต่อวัฒนธรรมไทย และสิ่งนี้จะนำไปสู่การพัฒนาเพื่อความยั่งยืนด้านศิลปวัฒนธรรมในอนาคต” คุณกรรชิตกล่าวทิ้งท้าย
[1] https://copenhagen.thaiembassy.org/en/content/bangkok-ranks-number-one-as-the-world-s-most-visit?cate=5d81e20015e39c1614002150
สถาบันภาษาไทยสิรินธรจัดสอบ CU-TFL สร้างมาตรฐานวัดสมรรถภาพการใช้ภาษาไทยสำหรับชาวต่างชาติ
ภารกิจสุดขั้วโลก นักวิจัย จุฬาฯ เดินทางไปแอนตาร์กติก สำรวจผลกระทบโลกร้อนและขยะไมโครพลาสติก
THANARA นวัตกรรมความงามผสานไมโครไบโอมฟื้นฟูสุขภาพผิวด้วย 4P-Biotics สูตรเฉพาะจากออล-ดีเอ็นเอ
สถาบันไทยศึกษา จุฬาฯ เร่งจัดทำฐานข้อมูลลายผ้าขาวม้าไทย ขับเคลื่อนมรดกภูมิปัญญาไทยสู่เวที UNESCO
“หุ่นอาจารย์ใหญ่” ฝึกเจาะเลือดและฉีดยาสุนัข เสริมความมั่นใจนิสิตสัตวแพทย์
จุฬาฯ เปิดตัว “วีลแชร์เดินได้” Wheelchair Exoskeleton หุ่นยนต์สวมใส่บนร่างกายมนุษย์ นั่ง ลุกยืน และเดินได้ในตัวเดียว
จุฬาฯ สนับสนุนให้อาจารย์ทำงานวิจัย นับว่าเป็นสิ่งที่ดีมากต่อทั้งอาจารย์ นิสิต รวมถึงภาคประชาสังคม รองศาสตราจารย์ ดร.สุชนา ชวนิชย์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
จุฬาฯ สนับสนุนให้อาจารย์ทำงานวิจัย นับว่าเป็นสิ่งที่ดีมากต่อทั้งอาจารย์ นิสิต รวมถึงภาคประชาสังคม
รองศาสตราจารย์ ดร.สุชนา ชวนิชย์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีให้กับท่าน และเพื่อพัฒนาคุณภาพการให้บริการเว็บไซต์ที่ตรงต่อความต้องการของท่านมากยิ่งขึ้น ท่านสามารถทราบรายละเอียดเกี่ยวกับคุกกี้ได้ที่ นโยบายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และท่านสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า
ท่านสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น
ประเภทของคุกกี้ที่มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้ท่านสามารถใช้เว็บไซต์ได้อย่างเป็นปกติ ท่านไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลพฤติกรรมการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน โดยมีจุดประสงค์คือนำข้อมูลมาวิเคราะห์เพื่อปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ให้มีคุณภาพ และสร้างประสบการณ์ที่ดีกับผู้ใช้งาน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด หากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราอาจไม่สามารถวัดผลเพื่อการปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ให้ดีขึ้นได้ รายละเอียดคุกกี้