รู้จักจุฬาฯ
การบริหาร
อัตลักษณ์มหาวิทยาลัย
Green University
Sustainability
ติดต่อจุฬาฯ
บริจาคให้จุฬาฯ
หลักสูตร
การสมัครเข้าศึกษา
หน่วยงานการศึกษา
บริการนิสิต
บริการวิชาการ
บริการทางการแพทย์
บริการตรวจวิเคราะห์คุณภาพ
สารสนเทศและการสื่อสาร
พื้นที่สร้างสรรค์
ข่าวสารและความเคลื่อนไหว
วารสารจุฬาฯ
สาระความรู้
Highlights
4 มิถุนายน 2568
ผู้เขียน รัตนาวลี เกียรตินิยมศักดิ์
บอกลาโรคอ้วนที่ศูนย์รักษ์พุง โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ One Stop Service ด้านการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคอ้วนแบบองค์รวม รวมแพทย์และบุคลากรสหสาขา เชี่ยวชาญการรักษาไม่ว่าทางยา การผ่าตัด โภชนบำบัด และพฤติกรรมบำบัด พร้อมแนะป้องกันความอ้วนก่อนโรครุมเร้า
หาคำตอบได้จากสูตรการวัดค่าดัชนีมวลกาย
ดัชนีมวลกาย (BMI) = น้ำหนักตัว (กิโลกรัม) / ส่วนสูง (เมตร)2
“สำหรับผู้ที่มีค่าดัชนีมวลกายเกิน 25 ได้เวลาที่จะต้องดูแลสุขภาพร่างกายกันแล้ว” ศาสตราจารย์ นายแพทย์สุเทพ อุดมแสวงทรัพย์ ศัลยแพทย์โรคอ้วน และผู้อำนวยการศูนย์รักษ์พุง โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย กล่าว
โรคอ้วนเป็นปัญหาทางสุขภาพที่ไม่ควรมองข้ามเพราะเป็นเหตุให้เกิดโรครุมเร้ามากมาย ได้แก่ เบาหวาน ไขมัน โรคทางด้านระบบประสาท โรคเส้นเลือดสมอง การนอนหลับผิดปกติ ความดันสูง โรคหัวใจ โรคปอด กรดไหลย้อน ภาวะมีลูกยาก ซีสต์ ไตผิดปกติ การกลั้นปัสสาวะอุจจาระผิดปกติ เส้นเลือดขอด ไขมันเกาะตับ ตับแข็ง นิ่ว มะเร็งเต้านม และมะเร็งรังไข่
“การรักษาโรคอ้วนและการลดน้ำหนักเป็นไปได้ หากผู้ที่มีภาวะอ้วนได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่องและอยู่ภายใต้การดูแลอย่างใกล้ชิดของแพทย์และทีมสหสาขาวิชา” ศ. นพ.สุเทพกล่าวให้ความมั่นใจ “ซึ่งที่ศูนย์รักษ์พุง เราเป็นต้นแบบเรื่องการดูแลรักษาภาวะโรคอ้วน มีทั้งองค์ความรู้ ผู้เชี่ยวชาญ และวิธีรักษาโรคอ้วนแบบครบวงจร รวมทุกภาคส่วนในการดูแลโรคอ้วนและโรคเมตาบอลิกเข้ามาอยู่ด้วยกัน”
ศ. นพ.สุเทพ เผยว่า ศูนย์รักษ์พุงก่อตั้งขึ้นในปี 2550 ในแต่ละปีมีผู้ป่วยเข้ามารักษาโรคอ้วนโดยไม่ผ่าตัดแล้วราว 2,000 – 3,000 ราย และผู้ป่วยโรคอ้วนที่ได้รับการผ่าตัดประมาณ 120 – 150 ราย
“ผู้ป่วยที่รักษาด้วยการผ่าตัดเมื่อสำเร็จแล้วบางท่านกลับมาเป็นวิทยากรให้ความรู้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ในช่วงรักษาโรค และให้กำลังใจกับผู้ป่วยที่เป็นโรคอ้วนที่ต้องได้รับการรักษาต่อไป” ศ. นพ.สุเทพ กล่าวยกตัวอย่างความสำเร็จใน “การเอาพุงออกไปจากชีวิตของผู้ป่วย”
ศูนย์รักษ์พุงเป็นแหล่งรวมของแพทย์สหสาขาวิชา เช่น ต่อมไร้ท่อ เพราะโรคอ้วนจำนวนหนึ่งเกิดจากความผิดปกติของต่อมไร้ท่อ หมอผู้เชี่ยวชาญด้านปอด หมอหูคอจมูก และหมอระบบประสาทเพื่อดูแลเรื่องของการนอนหลับ หมอทางโภชนาการดูแลเรื่องอาหารเพราะอาหารเป็นสิ่งสำคัญทำให้เกิดโรคอ้วน หมอเชี่ยวชาญเรื่องทางเดินอาหารดูแลเรื่องการผ่าตัด จิตแพทย์ให้คำปรึกษาเรื่องสภาพจิตใจ หมอเด็กดูแลเด็กที่มีภาวะโรคอ้วน หมอศัลยกรรมตกแต่งดูแลรักษาเพื่อปรับส่วนต่าง ๆ ของร่างกายให้เข้าที่ สูตินารีแพทย์ดูแลผู้ป่วยโรคอ้วนที่มีบุตรยาก มีซีสต์รังไข่ มะเร็งรังไข่ หมอทางด้านรังสีวิทยาดูแลเรื่องการตรวจหานิ่วในถุงน้ำดี และหมอหัวใจดูแลรักษาผู้ป่วยที่มีอาการทางด้านหัวใจ
นอกจากนี้ยังมีบุคลากรอื่น ๆ เช่น นักกายภาพบำบัดดูแลฟื้นฟูผู้ป่วย คณะวิทยาศาสตร์การกีฬาดูแลเรื่องการออกกำลังกาย นักกำหนดอาหารดูแลเรื่องอาหาร รวมทั้งผู้ป่วย ครอบครัว และ Patient Support Group กลุ่มของผู้ป่วยที่มีภาวะโรคอ้วนมาสร้างกำลังใจ พูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ซึ่งกันและกัน
ศ. นพ.สุเทพ เล่าถึงการเข้ามาใช้บริการที่ศูนย์รักษ์พุงว่า “เมื่อเข้ามารักษาที่ศูนย์รักษ์พุง เราจะให้ผู้ป่วยมารวมกลุ่มกันเพื่อให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการรักษาโรคอ้วนก่อน หลังจากนั้นก็จะเป็นการตรวจเฉพาะบุคคล เป็น one stop service ให้ผู้ป่วยได้รับความสะดวก ได้รับความเป็นส่วนตัว และก็มีความเป็นส่วนกลางเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้ สหสาขาวิชารวมถึงครอบครัว ผู้ป่วยต้องพาครอบครัวมาด้วย เพราะเมื่อกลับไปที่บ้านต้องมีคนช่วยดูแลและให้กำลังใจ”
ศ. นพ.สุเทพ อธิบายแนวทางการรักษาโรคอ้วนสำหรับผู้ที่มีค่า BMI 25 ขึ้นไป ดังนี้
ผู้ที่มีค่า BMI 25 – 29.9 จัดว่าเป็นกลุ่มน้ำหนักเกินเกณฑ์ เข้าขั้นท้วม กลุ่มนี้เริ่มมีโรครุมเร้าและต้องเริ่มดูแลตัวเองให้มากขึ้น หลักสำคัญในการดูแลตัวเองเน้นเรื่องการควบคุมอาหารและออกกำลังกาย ซึ่งทางศูนย์ฯ มีนักกำหนดอาหารมาช่วยดูแลและมี group treatment เข้ามาช่วยกันชักชวนกันดูแลสุขภาพ
ถ้าค่า BMI = 27.5 – 29.9 อาจเพิ่มตัวช่วย เช่น ยา ซึ่งโดยมากเป็นยาบล็อกไม่ให้ร่างกายดูดกลืนไขมัน ยาฮอร์โมนที่ทำให้รู้สึกอิ่มหรือเผาผลาญพลังงานมากขึ้น ยาฉีดไม่ว่าจะเป็นวันละครั้ง สัปดาห์ละครั้ง เดือนละครั้ง เพื่อช่วยปรับและเปลี่ยนสารคัดหลั่งในร่างกาย เพื่อให้ร่างกายรู้สึกอิ่มเร็ว เผาผลาญอาหารได้มากขึ้น แก้ไขความผิดปกติต่าง ๆ ทำให้น้ำหนักลดลงกว่าเดิมที่ไม่ได้รับยา ทั้งนี้ การได้รับยาต่าง ๆ นั้นต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด
ผู้ที่มีค่า BMI ระหว่าง 30 – 32.5 เรียกว่าภาวะอ้วน มีความเสี่ยงจากโรคอ้วนสูงมากโดยเฉพาะโรคทางเมตาบอลิก ผู้ป่วยควรได้รับการรักษาไม่ว่าจะเป็นยาหรือทำการรักษาด้วยวิธีอื่น เช่น ส่องกล้องผ่าตัดปรับทางเดินอาหาร
ผู้ที่มีค่า BMI เกิน 32.5 และมีโรครุมเร้าต้องรักษาด้วยการผ่าตัดปรับและเปลี่ยนทางเดินอาหารเพื่อให้ฮอร์โมนร่างกายได้ปรับใหม่ ให้เมตาบอลิซึมของร่างกายกลับสู่ภาวะปกติ ความหิวลดน้อยลง เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถกลับมาดูแลตัวเองให้ออกจากภาวะโรคอ้วน และโรครุมเร้าต่าง ๆ หายไป
ยาลดความอ้วนมีหลายประเภท แต่ละประเภทมีข้อบ่งชี้และข้อควรระวังต่าง ๆ กันไป
ศ. นพ.สุเทพ ย้ำเรื่องการใช้ยาลดความอ้วนว่า “ถ้าจะใช้ยา แนะนำให้พบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเสมอ เพื่อได้รับการรักษาที่ถูกต้องเหมาะสม และต้องมีการติดตามผลเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะไม่พึงประสงค์ทั้งหลาย เพราะยาบางตัวอาจมีผลต่อตับ ไต จิตใจและอารมณ์”
“นอกจากนี้ ต้องเลือกใช้ยาที่ได้การรับรองจากองค์การอาหารและยาเท่านั้น เช่น ยาที่ป้องกันการดูดซึมของไขมัน ยาที่ผลิตขึ้นมาคล้ายสารคัดหลั่งภายในร่างกายเพื่อให้เกิดความอิ่ม รู้สึกหิวน้อยลง ยากลุ่มนี้มีการศึกษาแล้วว่าปลอดภัย ส่วนยาอื่น ๆ ที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มยาเหล่าดังกล่าวเรียกว่ายาต้องห้าม”
แม้ยาจะเป็นตัวช่วยที่ดีในการรักษาและควบคุมภาวะอ้วน แต่หลักฐานทางการแพทย์ก็ชี้ให้เห็นว่า การใช้ยาแล้วหยุดยาเอง โอกาสที่จะกลับมามีภาวะอ้วนอีก ก็มีสูง
“เราจะบอกผู้ป่วยเสมอว่าการใช้ยาเป็นเพียงจุดเริ่มต้นในการปรับและเปลี่ยน ผู้ป่วยส่วนใหญ่ต้องได้รับยาในระยะยาวและต้องดูแลสุขภาพด้านอื่นด้วย”
โดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีค่าดัชนีมวลกาย 30 – 32.5 ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่อโรค ศ. นพ.สุเทพ กล่าวเพิ่มเติมว่า “ถ้าการใช้ยาได้ผลและมีประโยชน์ จะช่วยลดค่าใช้จ่ายและป้องกันไม่ให้ผู้ป่วยก้าวเข้าสู่ระยะโรคที่ต้องอาศัยการผ่าตัด ทางศูนย์ฯ กำลังศึกษาเรื่องการใช้ยาในกลุ่มนี้อยู่”
การผ่าตัดรักษาโรคอ้วนเป็นหนึ่งในความเชี่ยวชาญของศูนย์รักษ์พุง ศ. นพ.สุเทพ อธิบายความจำเป็นของการรักษาด้วยวิธีนี้ว่า “วัตถุประสงค์หลักของการผ่าตัดคือปรับและเปลี่ยนทางเดินอาหาร ปรับและเปลี่ยนฮอร์โมนหรือสารคัดหลั่งของผู้ป่วยเพื่อให้สามารถดูแลตัวเอง ควบคุมอาหารและออกกำลังกายดีขึ้น”
การผ่าตัดมีหลายวิธี แต่ที่ใช้หลัก ๆ มี 2 วิธี คือ
“วิธีนี้เป็นวิธีที่ใช้มากที่สุด เป็นการตัดกระเพาะจากกระเพาะใหญ่ให้เรียว กระเพาะที่ถูกตัดออกไปเป็นส่วนฮอร์โมนหลั่งความหิวจึงทำให้ความหิวถูกควบคุม หิวน้อยลง ในขณะเดียวกันอาหารผ่านกระเพาะและลงไปลำไส้ได้เร็วขึ้น ปรับเรื่องการดำเนินโรคให้กลับสู่สภาวะปกติ เหมาะกับผู้ป่วยที่ดัชนีมวลกาย 32.5 – 50 ผู้ป่วยมีโรครุมเร้าไม่เยอะ”
“วิธีนี้เป็นการปรับเปลี่ยนทางเดินอาหารโดยตัดกระเพาะอาหารให้เหลือ 15 – 30 มล. จากนั้นไปต่อกับลำไส้เล็กลักษณะคล้ายกับ Y เมื่อกระเพาะอาหารเล็กลง ทำให้อาหารไม่ผ่านการย่อยส่วนต้นของกระเพาะ ลดฮอร์โมนต่าง ๆ ปรับทางเดินอาหารให้ตอบสนองต่อร่างกายและสร้างฮอร์โมนที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ทำให้ระบบเมตาโบลิซึมปรับเปลี่ยน การเผาผลาญดีขึ้น ควบคุมโรคต่าง ๆ ได้ดีขึ้น น้ำหนักก็จะลดลง เหมาะกับผู้ป่วยที่มีดัชนีมวลกาย 50 ขึ้นไป”
การเตรียมตัวผู้ป่วยก่อนผ่าตัดเป็นเรื่องสำคัญ ศ. นพ.สุเทพ ย้ำว่า “ผู้ป่วยก่อนผ่าตัดต้องได้รับข้อมูลเต็มที่ ผ่านการประเมินแล้วว่าเข้าใจและพร้อมเข้าสู่กระบวนการในการรักษาเพื่อปรับเปลี่ยนทางเดินอาหาร ระยะผ่าตัดใหม่หรือช่วงรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลอาจจะมีผลข้างเคียง เช่น เลือดออกในทางเดินอาหาร เส้นเลือดอุดตัน ผลข้างเคียงมีโอกาสเป็น 0.5 – 1% ศูนย์รักษ์พุงมีทีมที่สามารถวินิจฉัยดูแลผู้ป่วยอย่างรวดเร็ว มีประสบการณ์ในการดูแลทำให้ผู้ป่วยผ่านพ้นไปได้”
หลังจากการผ่าตัด ผู้ป่วยยังคงต้องได้รับการรักษาอย่างใกล้ชิดจากทีมแพทย์ประมาณ 1-2 ปี และจากนั้นเป็นการติดตามผลต่อเนื่องปีละครั้ง ซึ่งนอกจากจะเป็นการมาพบแพทย์ที่ศูนย์ฯ แล้ว ปัจจุบัน ศูนย์รักษ์พุงกำลังเปิดตัวแอปพลิเคชันเพื่อให้คำปรึกษาออนไลน์กับผู้ป่วยและติดตามดูอาการของผู้ป่วยอย่างใกล้ชิดด้วย
โรคอ้วนเป็นปัญหาสุขภาพของประชากรทั่วโลก ข้อมูลของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ระบุว่าปัจจุบันประชากรทั่วโลกมีภาวะน้ำหนักเกินหรือภาวะอ้วนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และคาดการณ์ว่าในอีก 10 ปีข้างหน้า (2578) จะมีประชากรกว่า 1.9 พันล้านคน ที่มีภาวะอ้วน ซึ่งคิดเป็น 1 ใน 4 ของประชากรโลก สำหรับประชากรไทย มีการสำรวจพบว่าคนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไป มีภาวะอ้วนถึงร้อยละ 42.2
แนวโน้มภาวะโรคอ้วนที่เพิ่มสูงขึ้นนี้เป็นแรงผลักดันให้ศูนย์รักษ์พุงเดินหน้าศึกษานวัตกรรมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดผลข้างเคียงของการรักษา
“การใส่บอลลูนเข้าไปในกระเพาะอาหารเป็นวิธีหนึ่งในการรักษาโรคอ้วน ผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยวิธีนี้จะลดน้ำหนักได้ 10-15% ของน้ำหนักตัว ซึ่งก็เพียงพอที่จะให้โรคต่าง ๆ หายไป แต่จะมีอาการจุกแน่นหลังจากที่ใส่บอลลูน 1 – 2 สัปดาห์ ผู้ป่วยจึงต้องมีความเข้าใจและติดตามดูแลอาการต่อเนื่อง” ศ. นพ.สุเทพ ยกตัวอย่าง
“สำหรับเรื่องยา เรามีการพัฒนาความรู้เรื่องยาอยู่เรื่อย ๆ ยาในปัจจุบันที่ได้ผลดีที่สุดใกล้เคียงการผ่าตัด เมื่อมีหลายเทคโนโลยีมารวมกันทำให้เรารักษาผู้ป่วยได้ทุกบริบท เป็นส่วนเสริมซึ่งกันและกัน การผ่าตัดเป็นสิ่งสุดท้ายสำหรับผู้ที่รักษาด้วยวิธีต่าง ๆ แล้วไม่ได้ผล”
แนวทางการศึกษาโรคอ้วนในระยะยาวคือการศึกษาการลดความเสี่ยงในการผ่าตัด สำหรับผู้ที่มีเกณฑ์ผ่าตัด แต่ไม่พร้อมเพราะมีความเสี่ยงมากเกินไป การผ่าตัดด้วยการส่องกล้องเพื่อปรับและเปลี่ยนทางเดินอาหาร เป็นทางเลือกที่ลดความเสี่ยงดังกล่าว ซึ่งปัจจุบันวิธีการนี้ยังอยู่ในระยะการศึกษา
แม้ศูนย์รักษ์พุงจะมีแนวทางการรักษาที่ครบวงจรและมีประสิทธิภาพ แต่ที่ดีที่สุดในการดูแลรักษาโรคอ้วน คือ การป้องกันไม่ให้เข้าสู่ภาวะอ้วน!
“ผมอยากให้ทุกคนใส่ใจดูแลสุขภาพ เช็กสุขภาพ ชั่งน้ำหนัก ถ้าดัชนีมวลกายอยู่ในเกณฑ์ 18.5 – 24.9 คือกลุ่มที่ดูแลสุขภาพได้ดี ก็ให้ปฏิบัติดูแลต่อไป คนที่น้ำหนักเกิน 25- 29.9 ต้องควบคุมอาหารและออกกำลังกาย ไม่จำเป็นต้องออกกำลังกายเต็มรูปแบบ ออกกำลังกายด้วยการเดิน ขึ้นบันได เพิ่มกิจกรรมในชีวิตประจำวันก็ได้ แต่ถ้าคนไหนพร้อมและออกกำลังกายอย่างเป็นจริงจังก็เป็นเรื่องดี”
“สำหรับกลุ่มที่ดัชนีมวลกายถึงเกณฑ์ว่าต้องได้รับการดูแลทางแพทย์คือ 30-32.5 และมากกว่า 32.5 ซึ่งเป็นกลุ่มที่ต้องได้รับการรักษาด้วยการผ่าตัด มาปรึกษาที่ศูนย์รักษ์พุงได้”
สุดท้ายแล้ว ยาและการรักษาภาวะอ้วนที่ดีที่สุดคือความเข้าใจและกำลังใจจากสมาชิกในครอบครัว คนใกล้ชิด และสังคม ที่จะช่วยให้ผู้ที่มีภาวะโรคอ้วนกลับมามีสุขภาพดีอีกครั้ง
“สังคมต้องเข้าใจผู้ที่อยู่ภาวะโรคอ้วน พวกเขาไม่ได้ปล่อยปะละเลยให้อ้วน แต่ด้วยเหตุผลด้านสิ่งแวดล้อม พันธุกรรม และปัจจัยต่าง ๆ ทำให้บางคนดูแลสุขภาพไม่ดี สังคมต้องเห็นใจที่จะพาผู้ป่วยกลุ่มนี้ออกจากภาวะโรคอ้วนซึ่งมาพร้อมกับโรคมากมาย รวมถึงผลกระทบอื่น ๆ ถ้าสังคมช่วยเหลือกัน ผู้ป่วยกลุ่มนี้กลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้ต่อไป” ศ. นพ.สุเทพ กล่าวปิดท้าย
ติดต่อรับการรักษาได้ที่ ศูนย์รักษ์พุง อาคาร ส.ธ. ชั้น 12 เลขที่ 1873 ถนนพระราม 4 ปทุมวัน โทร. 02 256 4000, https://www.facebook.com/ChulaBMI/
จุฬาฯ จับมือ The Ocean Cleanup ใช้กล้องและ AI วิเคราะห์ปริมาณและเส้นทางขยะในแหล่งน้ำ หวังวางแนวทางจัดการขยะก่อนออกทะเล
พิพิธภัณฑ์พืช จุฬาฯ เก็บรักษาสภาพพันธุ์พืชทั่วไทย คลังความรู้ ต่อยอดยา ไขปริศนาคดีอาชญากรรม
ตรวจสอบวัสดุอุดตันท่อในอาคารด้วยรังสีแกมมา ช่องทางธุรกิจ วิศวกรนิวเคลียร์และรังสี จุฬาฯ
นักวิจัย จุฬาฯ พัฒนา “ปะการังสู้โลกร้อน” เพื่อทางรอดระบบนิเวศทางทะเล
ปฏิบัติการ “ชี้โพรง” สแกนสุขภาพต้นไม้ด้วยรังสีแกมมา
เปิดตัวตำราอาหาร “สุขภาพดี วิถีสำรับไทย” จับคู่เมนูเด็ด อร่อยคงเอกลักษณ์ ครบถ้วนโภชนาการ
จุฬาฯ มีลักษณะของความเป็นพี่น้อง ความอบอุ่น เป็นสังคมที่อยากอนุรักษ์ไว้ ศาสตราจารย์ เภสัชกรหญิง ดร.พรอนงค์ อร่ามวิทย์ คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
จุฬาฯ มีลักษณะของความเป็นพี่น้อง ความอบอุ่น เป็นสังคมที่อยากอนุรักษ์ไว้
ศาสตราจารย์ เภสัชกรหญิง ดร.พรอนงค์ อร่ามวิทย์ คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีให้กับท่าน และเพื่อพัฒนาคุณภาพการให้บริการเว็บไซต์ที่ตรงต่อความต้องการของท่านมากยิ่งขึ้น ท่านสามารถทราบรายละเอียดเกี่ยวกับคุกกี้ได้ที่ นโยบายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และท่านสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า
ท่านสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น
ประเภทของคุกกี้ที่มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้ท่านสามารถใช้เว็บไซต์ได้อย่างเป็นปกติ ท่านไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลพฤติกรรมการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน โดยมีจุดประสงค์คือนำข้อมูลมาวิเคราะห์เพื่อปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ให้มีคุณภาพ และสร้างประสบการณ์ที่ดีกับผู้ใช้งาน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด หากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราอาจไม่สามารถวัดผลเพื่อการปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ให้ดีขึ้นได้ รายละเอียดคุกกี้