Highlights

วัคซีนไอกรนรุ่นใหม่ ลดขนาด ประสิทธิภาพคงเดิม ความสำเร็จของแพทย์ไทยเพื่อประชากรกลุ่มเสี่ยง

วัคซีนไอกรนใหม่

คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ ทำการศึกษาคิดค้นวัคซีนไอกรนรุ่นใหม่แบบลดขนาด จากเดิมขนาด 5 ไมโครกรัมเหลือ 2 ไมโครกรัม คงประสิทธิภาพภูมิคุ้มกันในราคาจับต้องได้มากขึ้น เพื่อประชากรกลุ่มเสี่ยงได้รับวัคซีนอย่างทั่วถึง


คุณฉีดวัคซีนไอกรนครั้งสุดท้ายเมื่อไร?

หลายคนอาจจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเคยฉีดวัคซีนนี้หรือไม่ ฉีดไปแล้วกี่เข็มและครั้งสุดท้ายเมื่อไร อีกหลายคนอาจเชื่อว่าฉีดวัคซีนนี้แล้วตั้งแต่เด็กคงไม่จำเป็นต้องฉีดอีกเนื่องจากภูมิคุ้มกันโรคคงคุ้มครองได้ตลอดชีวิต และไอกรนเป็นโรคที่ได้รับการควบคุมจนแทบไม่พบผู้ป่วยแล้ว

แต่ความจริงคือวัคซีนไอกรนสร้างภูมิคุ้มกันป้องกันโรคได้ราว 3-5 ปี และโรคไอกรนยังอยู่ อีกทั้งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ข้อมูลล่าสุดของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขเผยว่าในปีพ.ศ. 2567 มีผู้ป่วยโรคไอกรนจำนวน 1,186 ราย คิดเป็นอัตราป่วย 44.74 ต่อประชากรแสนคน ในจำนวนนี้มีผู้เสียชีวิต 2 ราย กลุ่มอายุที่พบผู้ป่วยสูงที่สุด คือ 0 – 4 ปี จำนวน 818 ราย รองลงมา 5 – 9 ปี 159 ราย และ 10 – 14 ปี 59 ราย จำนวนผู้ป่วยโรคไอกรนดังกล่าวสูงกว่าค่ามาตรฐาน 5 ปีย้อนหลัง

การฉีดวัคซีนจึงเป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะในหญิงตั้งครรภ์ วัยรุ่น และผู้ใหญ่ที่มีโรคประจำตัว เนื่องจากไอกรนเป็นโรคติดเชื้อทางระบบางเดินหายใจที่ติดต่อง่ายและมีความเสี่ยงถึงชีวิต โดยเฉพาะหากเกิดในเด็กเล็ก

ปัจจุบัน มีทั้งวัคซีนรุ่นเก่าที่นำเข้าจากต่างประเทศ และวัคซีนรุ่นใหม่ที่คิดค้นโดยบริษัทคนไทยและผลิตภายในประเทศ แต่ด้วยราคาที่ค่อนข้างสูง อาจทำให้คนจำนวนมากเข้าไม่ถึง ทีมแพทย์ไทยจากคณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จึงได้คิดค้น “วัคซีนไอกรนรุ่นใหม่แบบลดขนาด จากขนาด 5 ไมโครกรัมลดเหลือ 2 ไมโครกรัมเพื่อให้วัคซีนราคาถูกลง เพื่อประชากรไทยที่มีความเสี่ยงต่อโรคสามารถรับวัคซีนได้โดยทั่วถึงยิ่งขึ้น

ศ.นพ.ธีระพงษ์ ตัณฑวิเชียร แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ศ.นพ.ธีระพงษ์ ตัณฑวิเชียร แ
พทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อ
คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

“รายงานของโรคไอกรนอาจต่ำกว่าความเป็นจริง เนื่องจากแพทย์มักไม่ได้คิดถึงและไม่มีการวินิจฉัย” ศาสตราจารย์ นพ.ธีระพงษ์ ตัณฑวิเชียร แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หัวหน้าทีมวิจัยวัคซีนไอกรนรุ่นใหม่ กล่าว

 “โรคไอกรนพบได้น้อยเมื่อเทียบกับโรคอื่นแต่เป็นเฉพาะในรายงานเท่านั้น เนื่องจากแพทย์อาจจะคิดไม่ถึงโรคนี้ เลยไม่ได้ส่งตรวจเชื้อเพราะค่าใช้จ่ายในการตรวจโดยใช้ PCR (Polymerase Chain Reaction) ราคาแพง”

“จากข้อมูลต่างประเทศพบว่าอัตราการวินิจฉัยทั่วโลกต่ำกว่าความเป็นจริงมาก เวลาที่เราเจอ 1 เคส สิ่งที่เราเห็นนั้น เป็น 1 ใน 100 หรือ 1 ใน 1,000 เท่าที่เกิดขึ้นจริง เลยเป็นเรื่องประเมินต่ำกว่าความเป็นจริง”

โรคไอกรนไม่ใช่โรคอุบัติใหม่ แต่เป็นโรคที่อยู่กับมนุษยชาติมาโดยตลอด เนื่องจากโรคนี้เกิดขึ้นจากเชื้อแบคทีเรียชื่อว่า Bordetella Pertussis ซึ่งเป็นเชื้อที่มีอยู่ในตัวมนุษย์ ในประเทศไทย ผู้คนแต่ก่อนเรียกโรคนี้ว่า “ไอ 100 วัน”

“เด็กที่เป็นโรคนี้จะไอจนตัวเขียว ไอจนอาเจียนและเสียชีวิต ส่วนในผู้ใหญ่จากการไอเรื้อรังเป็นเวลาหลายเดือน ก็เป็นโรคที่รบกวนกับชีวิตประจำวัน เช่น นอนไม่หลับ ไอจนซี่โครงหัก หรือใครที่มีโรคหอบหืดอยู่แล้วก็จะเป็นหนักมากกว่าเดิม” ศ. นพ.ธีระพงษ์ กล่าว

“โรคไอกรนเป็นโรคติดเชื้อจากสิ่งที่ไอออกมาเช่น เสมหะ การไอเป็นชุดและระยะของโรค 2 เดือน จึงมีโอกาสแพร่เชื้อเยอะมาก ผู้ป่วยโรคไอกรน 1 คน เมื่อมีอาการไอติดต่อกัน ก็มีโอกาสสูงถึงร้อยละ 30-50% ที่จะทำให้ผู้ใกล้ชิดเป็นไอกรนไปด้วย จึงนับได้ว่าเป็นโรคที่ติดต่อได้ง่ายมากโรคหนึ่ง”

สถานการณ์ผู้ป่วยเป็นไอกรนในปัจจุบัน
สถานการณ์ผู้ป่วยเป็นไอกรนในปัจจุบัน

เมื่อ 50 ปีก่อน โรคไอกรนเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญเนื่องจากพบผู้ป่วยโรคนี้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่เป็นจำนวนมาก จนเมื่อ 30 – 40 ปีก่อน หลายประเทศรวมทั้งประเทศไทยเริ่มฉีดวัคซีนไอกรนในเด็กเล็กเพื่อสร้างภูมิป้องกันโรคไอกรน และพบว่าอัตราการตายลดลงหลังจากนั้น 

อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2543 เป็นต้นมา (หรือ 25 ปี) ภายหลังการปูพรมฉีดวัคซีนไอกรน ก็เริ่มมีรายงานจากต่างประเทศเกี่ยวกับการพบผู้ป่วยไอกรนโดยเฉพาะในผู้ใหญ่ 

ในราวปีปีพ.ศ. 2556 กลุ่มโรคติดเชื้อ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์ จุฬา เริ่มสนใจศึกษาผู้ใหญ่ที่มีอาการไอเรื้อรังเกิน 3 อาทิตย์ ที่รักษาแต่ไม่หาย และได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ว่าเป็น “หลอดลมอักเสบ”

“เราพบว่าร้อยละ 1.3% ของผู้ป่วยผู้ใหญ่ที่ไอเรื้อรังเป็นโรคไอกรน!” ศ. นพ.ธีระพงษ์ กล่าวและเพิ่มเติมว่าข้อค้นพบดังกล่าวทำให้ทีมแพทย์ จุฬาฯ กลับไปดูเคสเด็กเล็ก อายุ 1 – 3 ปี ที่มีอาการไอเป็นชุด ก็พบเคสที่เป็นโรคไอกรนเช่นกัน

“เราเลยศึกษาว่าทำไมถึงเกิดเหตุแบบนี้ แล้วพบว่าการวินิจฉัยโรคไอกรนวินิจฉัยยาก การเพาะเชื้อ Bordetella pertussis ยากมาก ปัจจุบันต้องใช้วิธีตรวจโดย PCR ดูแหล่งโมเลกุลซึ่งมีราคาแพงและไม่ได้สามารถตรวจได้ทุกที่ ตอนที่เราทำวิจัยในปีปีพ.ศ. 2556 ก็ต้องให้กระทรวงสาธารณสุขช่วย และพบว่า โรคไอกรนทั้งเด็กและผู้ใหญ่ยังมีอยู่ เหมือนกับต่างประเทศที่ยังมีโรคนี้อยู่แต่ไม่มีใครรู้เพราะไม่มีการวินิจฉัย ในสหภาพยุโรป ช่วง 10 ปีมานี้ ก็กลับมาให้ความสนใจโรคไอกรนมากขึ้น” ศ. นพ.ธีระพงษ์ กล่าว

มาตรการป้องกันและควบคุมโรคโดยกระทรวงสาธารณสุข ได้จัดบริการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไอกรนสำหรับเด็กและหญิงตั้งครรภ์ ฟรี ที่สถานบริการสาธารณสุขของรัฐทั่วประเทศ สำหรับเด็กเล็ก จะได้รับวัคซีนรวมป้องกันโรคคอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรน 5 เข็ม เริ่มที่ช่วงอายุ 2, 4, 6 และ 18 เดือน และวัคซีนกระตุ้นในช่วงอายุ 4-6 ปี สำหรับหญิงตั้งครรภ์ จะได้รับวัคซีนป้องกันโรคไอกรนในช่วงครรภ์สัปดาห์ที่ 27-36

อย่างไรก็ดี วัคซีนไอกรนมีประสิทธิภาพคุ้มครองโรคได้ยาวที่สุด 5 ปี แพทย์จึงแนะนำให้วัยรุ่นและผู้ใหญ่ ฉีดวัคซีนไอกรนทุก ๆ 10 ปี ซึ่งส่วนนี้เป็นส่วนที่ประชาชนต้องออกค่าใช้จ่ายเอง

วัคซีนไอกรนสำหรับเด็กตั้งแต่ 7 ปี ถึงวัยผู้ใหญ่ในปัจจุบันมีทั้งแบบที่นำเข้าและผลิตภายในประเทศ สนนราคาจัดว่าสูง โดยเฉพาะสำหรับกลุ่มเสี่ยงที่อาจจะเข้าถึงวัคซีนลำบาก ทีมคณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ จึงคิดค้นวัคซีนป้องกันไอกรนที่ประสิทธิภาพดีเหมือนเดิม แต่ในปริมาณฉีดที่น้อยลง เพื่อลดราคาวัคซีน

ศ. นพ.ธีระพงษ์ อธิบายวัคซีนรุ่นเก่าและวัคซีนรุ่นใหม่ ดังนี้

วัคซีนรุ่นเก่าเป็นวัคซีนที่นำเข้าจากต่างประเทศ เป็นวัคซีนรวมคอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรน (ชนิดทั้งเซลล์) เรียกว่า DTP (Diphtheria-Tetanus-Pertussis (whole cell) : DTP vaccine) ใช้ในการป้องกันเด็กเล็ก โดยจะฉีดทุก 2 เดือน 4 เดือน 6 เดือน 1 ½ ปี และ 5 ปี แต่วัคซีนชนิดนี้ใช้กับเด็กโตเกินกว่า 7 ปีไม่ได้เนื่องจากมีผลข้างเคียง เช่น อาการชัก 

สำหรับเด็กเกินกว่า 7 ปีและผู้ใหญ่ มีการพัฒนาวัคซีนรวมคอตีบ-ไอกรน-บาดทะยักชนิดไร้เซลล์ เรียกว่า Tdap (Tetanus, Diphtheria, Pertussis Vaccine) เป็นวัคซีนไร้เซลล์เรียกว่า Acellular Pertussis โดยนำเอาเซลล์ที่เป็นชนิดของแบคทีเรียมาย่อยทำให้ไม่มีเซลล์ และเกิดเป็นผลิตภัณฑ์ที่ก่อภูมิคุ้มกันมาใช้เป็นวัคซีน

“ภูมิคุ้มกันโรคไอกรนจากวัคซีนรุ่นเก่าอยู่ได้แค่ 2-3 ปี ส่วนคอตีบและบาดทะยักอยู่ได้ 10 – 20 ปี” ศ. นพ.ธีระพงษ์ กล่าว

วัคซีนไอกรนรุ่นใหม่ เป็นวัคซีนที่พัฒนาขึ้นโดยบริษัทสัญชาติไทยไบโอเนท-เอเชีย มี 2 ชนิด ได้แก่

  • วัคซีนไอกรนชนิดไร้เซลล์แบบรีคอมบิแนนท์ชนิดเดี่ยว (Recombinant acellular pertussis vaccine; aP) และถือว่าประเทศไทยเป็นประเทศแรกที่สร้างวัคซีนไอกรนชนิดเดี่ยว มีภูมิคุ้มกันไอกรนได้นานอย่างน้อย 5 ปี
  • วัคซีนรวมโรคคอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรนชนิดไร้เซลล์แบบรีคอมบิแนนท์ (Tetanus-diphtheria-recombinant ap vaccine, TdaP) ภูมิคุ้มกันโรคคอตีบและบาดทะยักอยู่ได้ 10 – 20 ปี ส่วนไอกรนอยู่ได้อย่างน้อย 5 ปี 
การผลิตวัคซีนโดยใช้วิธี Recombinant Protein ทำให้โครงสร้างของโปรตีนไม่ถูกทำลายโดยสารเคมี
การผลิตวัคซีนโดยใช้วิธี Recombinant Protein ทำให้โครงสร้างของโปรตีนไม่ถูกทำลายโดยสารเคมี

“วัคซีนรุ่นใหม่สำหรับหญิงตั้งครรภ์ วัยรุ่นที่มีความเสี่ยง และผู้ใหญ่ที่มีโรคประจำตัว ใช้กระบวนการผลิตใหม่เรียกว่า Recombinant Protein โดยนำยีนของเชื้อ Bordetella Pertussis ไปใส่ในแบคทีเรียตัวอื่นและให้แบคทีเรียตัวอื่นสร้างโปรตีนที่ทำหน้าที่สร้างภูมิคุ้มกัน โครงสร้างของโปรตีนไม่ถูกทำลายโดยสารเคมี ผลทดสอบภูมิคุ้มกันสูงขึ้นและนานกว่าเพราะรูปร่างโปรตีนที่สร้างจากแบคทีเรียตัวอื่นไม่ผิดเพี้ยน” ศ. นพ.ธีระพงษ์ อธิบายกระบวนการผลิตวัคซีนรุ่นใหม่

“การฉีดวัคซีนในหญิงตั้งครรภ์เพื่อให้แม่ส่งภูมิคุ้มกันมาให้ลูก เด็กเล็กอายุน้อยกว่า 2 เดือนก็มีภูมิจากการฉีดในแม่ผ่านมาสู่ลูก เมื่ออายุเกิน 2 เดือนเด็กก็ได้เริ่มการฉีดวัคซีนก้จะเริ่มสร้างภูมิเองได้ก็คือฉีดในเด็กไป 2 เข็มก็มีภูมิแล้ว นอกจากนี้การฉีดวัคซีนไอกรนเดี่ยวยังจำเป็นสำหรับหญิงตั้งครรภ์หัวปีท้ายปี ถ้าฉีดวัคซีนรวมคอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรนจะทำให้ได้รับวัคซีนคอตีบและบาดทะยักมากเกินไป”

กระบวนการผลิตวัคซีนไอกรนแบบใหม่ด้วยวิธี Recombinant Protein ทำมาได้ 10 ปีแล้ว แต่เริ่มมีการจำหน่ายเมื่อ 3-4 ปีที่ผ่านมานี้เอง เป็นวัคซีนไอกรนในขนาด 5 ไมโครกรัม ราคาเข็มละ 700 – 800 บาท ซึ่งจัดว่ายังมีราคาสูงอยู่สำหรับประชากรหลายกลุ่ม ศ. นพ.ธีระพงษ์ และทีมวิจัยวัคซีนจึงมีแนวคิดที่จะทำให้วัคซีนราคาถูกลงในประสิทธิภาพดีเท่าเดิม

ผลการวิจัยพบว่าวัคซีนป้องกันโรคไอกรนรุ่นใหม่แบบลดขนาด มีความปลอดภัยยไม่ต่างจากวัคซีนเปรียบเทียบ Tdap และทำให้เกิดภูมิคุ้มกันโรคไอกรนได้สูงกว่าและภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นคงอยู่นานกว่า
ผลการวิจัยพบว่าวัคซีนป้องกันโรคไอกรนรุ่นใหม่แบบลดขนาด มีความปลอดภัยยไม่ต่างจากวัคซีนเปรียบเทียบ Tdap และทำให้เกิดภูมิคุ้มกันโรคไอกรนได้สูงกว่าและภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นคงอยู่นานกว่า

“ถ้าจะให้วัคซีนนี้ฟรีสำหรับหญิงตั้งครรภ์ และเด็กวัยรุ่น ราคาวัคซีนต้องถูกลง วัคซีน TdaP หรือ aP ขนาด 5 ไมโครกรัมดีอยู่แล้ว มีภูมิยาวไม่น้อยกว่า 5 ปี แต่รู้สึกว่าขนาดปริมาณมากเกินไป”

ทีมวิจัย จุฬาฯ จึงขอทุนจากทางรัฐบาลเพื่อสนับสนุนการวิจัย และทำงานร่วมกับบริษัทเอกชน (ไบโอเนท-เอเชีย) ในการศึกษาลดจำนวนขนาดของวัคซีน Recombinant Pertussis จาก 5 ไมโครกรัม ให้เหลือแค่ 2 ไมโครกรัมเพื่อให้ราคาถูกลงและเป็นวัคซีนที่มีประสิทธิภาพดี

“ผลการศึกษาพบว่าการลดขนาดยาไม่ทำให้ภูมิคุ้มกันลดลง และไม่เสียคุณสมบัติของการสร้างภูมิคุ้มกัน ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นเปรียบเทียบกับวัคซีนรุ่นเก่าที่ขายทั่วไป ไม่ต่างกัน ดูจะน้อยกว่าด้วยซ้ำ ผลข้างเคียงที่ว่าคืออาการปวด บวมแดงตรงตำแหน่งที่ฉีดเหมือนกับการฉีดวัคซีนทั่วไป” ศ. นพ.ธีระพงษ์ กล่าว

วัคซีนไอกรนรุ่นใหม่แบบลดขนาด มี 2 แบบ ได้แก่

  1. วัคซีนไอกรน ชนิดไร้เซลล์แบบรีคอมบิแนนท์ชนิดเดี่ยวแบบลดขนาด ใช้ชื่อว่า Pertagen 2
  2. วัคซีนรวมโรคคอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรน ชนิดไร้เซลล์แบบรีคอมบิแนนท์แบบลดขนาด ใช้ชื่อว่า Boostagen 2

“หมายเลข 2 คือขนาดของวัคซีน 2 ไมโครกรัม ขณะนี้Boostagen 2 ได้รับการขึ้นทะเบียนยาแล้ว และ Pertagen 2 กำลังรอจดทะเบียนอยู่ คาดว่าจะผลิตและขายได้ภายใน 2 ปีจากนี้ สำหรับราคาขายยังไม่ได้กำหนด แต่เราจะทำให้ราคาถูกกว่าวัคซีนที่ขายอยู่ขณะนี้”

ศ. นพ.ธีระพงษ์ หวังว่าเมื่อวัคซีนราคาถูกลง รัฐบาลจะพิจารณาซื้อเพื่อนำไปสนับสนุนการฉีดวัคซีนให้กับหญิงตั้งครรภ์ วัยรุ่น และผู้ใหญ่ที่มีโรคประจำตัว

“เมื่อวัคซีนมีราคาถูกลง เราหวังว่ารัฐบาลจะพิจารณาซื้อเพราะเป็นวัคซีนที่รัฐฯ สนับสนุนการทำวิจัยเอง และสำหรับบริษัทไบโอเนท-เอเชีย ก็ได้ผลประโยชน์ในการนำเอาวัคซีนตัวนี้ไปส่งขายต่างประเทศด้วย”

 ศ. นพ.ธีระพงษ์ กล่าวว่าขณะนี้ กลุ่มประเทศในสหภาพยุโรปกำลังพิจารณานำเข้าวัคซีนรุ่นใหม่แบบลดขนาดจากประเทศไทย

“น่าภูมิใจที่ต่างประเทศจะเอาวัคซีนกลุ่มนี้เข้าประเทศ อย่างกลุ่มประเทศยุโรบคือ EU กำลังพิจารณานำเข้าวัคซีนรุ่นใหม่นี้เข้าไปใช้ ถ้าผ่านการพิจารณาแล้ว ก็จะเป็นวัคซีนตัวแรกที่วิจัยและผลิตโดยคนไทยที่จะนำเอาเข้าไปใช้ในยุโรป นอกจากนี้ อินเดียและสิงคโปร์ก็สนใจนำเข้าวัคซีนจากประเทศไทยด้วย”

วัคซีนไอกรนปัจจุบันป้องกันโรคได้ดีพอสมควร ผลการฉีดวัคซีนไอกรนในหญิงตั้งครรภ์พบว่าโรคไอกรนในเด็กลดลง 90% แต่ปัญหาคือความสามารถในการป้องกันโรคยังอยู่ได้ไม่นาน

“วัคซีนรุ่นเก่าจากต่างชาติอยู่ได้ 2 – 3 ปี วัคซีนปัจจุบันที่คนไทยผลิตอยู่ได้ 5 ปี แต่จะอยู่ถึง 10 ปีหรือเปล่ายังตอบไม่ได้ ถ้าอยู่ถึง 10 ปีก็จะจบว่าถ้าฉีดวัคซีนคอตีบ-ไอกรน-บาดทะยักครอบคลุมระยะเวลา 10 ปีเท่ากัน”

การทำให้วัคซีนมีภูมิคุ้มกันถึง 10 ปี จึงเป็นเป้าหมายลำดับถัดไปสำหรับทีมแพทย์ จุฬาฯ

“การผลิตวัคซีนโดยใช้วิธี Recombinant Protein ดีอยู่แล้ว แต่จะทำอย่างไรให้อยู่นานขึ้น เช่น การเติมสารเสริมภูมิ หรือจำเป็นต้องใช้ขนาดยาสูงกว่านี้ หรือต้องฉีดซ้ำหรือไม่ เป็นวิธีการคิดต่อไปในอนาคต”

สุดท้าย ศ. นพ.ธีระพงษ์ กล่าวย้ำถึงความสำคัญของการรับวัคซีนไอกรนว่า “โรคไอกรนเป็นโรคหนึ่งที่คิดว่าหายไปแล้ว แต่จริง ๆ ยังมีอยู่ วัคซีนไอกรนรุ่นใหม่อย่างน้อยตอนนี้ข้อมูลที่มีอยู่คือไม่น้อยกว่า 5 ปี ผู้ที่เคยฉีดคอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรนมาแล้ว โรคคอตีบและบาดทะยักมีภูมิคุ้มกันได้ 10 ปี แนะนำให้ฉีดวัคซีนไอกรนเดี่ยวเพิ่ม หญิงตั้งครรภ์ฉีดวัคซีนรวมไปแล้ว และตั้งครรภ์อีกควรจะฉีดเฉพาะวัคซีนไอกรนเช่นกัน

Information Box


กลุ่มประชากรที่ควรฉีดวัคซีนไอกรน

  • วัยก่อนวัยรุ่นอายุ 11 – 12 ปี
  • หญิงตั้งครรภ์ มีระยะครรภ์ 20 – 32 สัปดาห์ และฉีดในทุกการตั้งครรภ์
  • ผู้ใหญ่ 27 – 64 ปี ฉีดเข็มกระตุ้นทุก ๆ 10 ปี
  • ผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป ฉีดเข็มกระตุ้นทุก ๆ 10 ปี

ข้อมูลอ้างอิง
กรมควบคุมโรค https://www.chula.ac.th/news/234270/

จุฬาฯ เป็นที่ที่เราได้มาพบตัวเองจริงๆ และเป็นช่วงเวลาที่สนุกที่สุด

คุณรสสุคนธ์ กองเกตุ (ครูเงาะ) นิสิตเก่า คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ไอคอน PDPA

เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีให้กับท่าน และเพื่อพัฒนาคุณภาพการให้บริการเว็บไซต์ที่ตรงต่อความต้องการของท่านมากยิ่งขึ้น ท่านสามารถทราบรายละเอียดเกี่ยวกับคุกกี้ได้ที่ นโยบายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และท่านสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

ท่านสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

อนุญาตทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้ที่มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้ท่านสามารถใช้เว็บไซต์ได้อย่างเป็นปกติ ท่านไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลพฤติกรรมการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน โดยมีจุดประสงค์คือนำข้อมูลมาวิเคราะห์เพื่อปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ให้มีคุณภาพ และสร้างประสบการณ์ที่ดีกับผู้ใช้งาน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด หากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราอาจไม่สามารถวัดผลเพื่อการปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ให้ดีขึ้นได้
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า