รู้จักจุฬาฯ
การบริหาร
อัตลักษณ์มหาวิทยาลัย
Green University
Sustainability
ติดต่อจุฬาฯ
บริจาคให้จุฬาฯ
หลักสูตร
การสมัครเข้าศึกษา
หน่วยงานการศึกษา
บริการนิสิต
บริการวิชาการ
บริการทางการแพทย์
บริการตรวจวิเคราะห์คุณภาพ
สารสนเทศและการสื่อสาร
พื้นที่สร้างสรรค์
ข่าวสารและความเคลื่อนไหว
วารสารจุฬาฯ
สาระความรู้
Highlights
20 สิงหาคม 2568
ผู้เขียน รัตนาวลี เกียรตินิยมศักดิ์
คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ ทำการศึกษาคิดค้นวัคซีนไอกรนรุ่นใหม่แบบลดขนาด จากเดิมขนาด 5 ไมโครกรัมเหลือ 2 ไมโครกรัม คงประสิทธิภาพภูมิคุ้มกันในราคาจับต้องได้มากขึ้น เพื่อประชากรกลุ่มเสี่ยงได้รับวัคซีนอย่างทั่วถึง
คุณฉีดวัคซีนไอกรนครั้งสุดท้ายเมื่อไร?
หลายคนอาจจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเคยฉีดวัคซีนนี้หรือไม่ ฉีดไปแล้วกี่เข็มและครั้งสุดท้ายเมื่อไร อีกหลายคนอาจเชื่อว่าฉีดวัคซีนนี้แล้วตั้งแต่เด็กคงไม่จำเป็นต้องฉีดอีกเนื่องจากภูมิคุ้มกันโรคคงคุ้มครองได้ตลอดชีวิต และไอกรนเป็นโรคที่ได้รับการควบคุมจนแทบไม่พบผู้ป่วยแล้ว
แต่ความจริงคือวัคซีนไอกรนสร้างภูมิคุ้มกันป้องกันโรคได้ราว 3-5 ปี และโรคไอกรนยังอยู่ อีกทั้งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ข้อมูลล่าสุดของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขเผยว่าในปีพ.ศ. 2567 มีผู้ป่วยโรคไอกรนจำนวน 1,186 ราย คิดเป็นอัตราป่วย 44.74 ต่อประชากรแสนคน ในจำนวนนี้มีผู้เสียชีวิต 2 ราย กลุ่มอายุที่พบผู้ป่วยสูงที่สุด คือ 0 – 4 ปี จำนวน 818 ราย รองลงมา 5 – 9 ปี 159 ราย และ 10 – 14 ปี 59 ราย จำนวนผู้ป่วยโรคไอกรนดังกล่าวสูงกว่าค่ามาตรฐาน 5 ปีย้อนหลัง
การฉีดวัคซีนจึงเป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะในหญิงตั้งครรภ์ วัยรุ่น และผู้ใหญ่ที่มีโรคประจำตัว เนื่องจากไอกรนเป็นโรคติดเชื้อทางระบบางเดินหายใจที่ติดต่อง่ายและมีความเสี่ยงถึงชีวิต โดยเฉพาะหากเกิดในเด็กเล็ก
ปัจจุบัน มีทั้งวัคซีนรุ่นเก่าที่นำเข้าจากต่างประเทศ และวัคซีนรุ่นใหม่ที่คิดค้นโดยบริษัทคนไทยและผลิตภายในประเทศ แต่ด้วยราคาที่ค่อนข้างสูง อาจทำให้คนจำนวนมากเข้าไม่ถึง ทีมแพทย์ไทยจากคณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จึงได้คิดค้น “วัคซีนไอกรนรุ่นใหม่แบบลดขนาด” จากขนาด 5 ไมโครกรัมลดเหลือ 2 ไมโครกรัมเพื่อให้วัคซีนราคาถูกลง เพื่อประชากรไทยที่มีความเสี่ยงต่อโรคสามารถรับวัคซีนได้โดยทั่วถึงยิ่งขึ้น
“รายงานของโรคไอกรนอาจต่ำกว่าความเป็นจริง เนื่องจากแพทย์มักไม่ได้คิดถึงและไม่มีการวินิจฉัย” ศาสตราจารย์ นพ.ธีระพงษ์ ตัณฑวิเชียร แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หัวหน้าทีมวิจัยวัคซีนไอกรนรุ่นใหม่ กล่าว
“โรคไอกรนพบได้น้อยเมื่อเทียบกับโรคอื่นแต่เป็นเฉพาะในรายงานเท่านั้น เนื่องจากแพทย์อาจจะคิดไม่ถึงโรคนี้ เลยไม่ได้ส่งตรวจเชื้อเพราะค่าใช้จ่ายในการตรวจโดยใช้ PCR (Polymerase Chain Reaction) ราคาแพง”
“จากข้อมูลต่างประเทศพบว่าอัตราการวินิจฉัยทั่วโลกต่ำกว่าความเป็นจริงมาก เวลาที่เราเจอ 1 เคส สิ่งที่เราเห็นนั้น เป็น 1 ใน 100 หรือ 1 ใน 1,000 เท่าที่เกิดขึ้นจริง เลยเป็นเรื่องประเมินต่ำกว่าความเป็นจริง”
โรคไอกรนไม่ใช่โรคอุบัติใหม่ แต่เป็นโรคที่อยู่กับมนุษยชาติมาโดยตลอด เนื่องจากโรคนี้เกิดขึ้นจากเชื้อแบคทีเรียชื่อว่า Bordetella Pertussis ซึ่งเป็นเชื้อที่มีอยู่ในตัวมนุษย์ ในประเทศไทย ผู้คนแต่ก่อนเรียกโรคนี้ว่า “ไอ 100 วัน”
“เด็กที่เป็นโรคนี้จะไอจนตัวเขียว ไอจนอาเจียนและเสียชีวิต ส่วนในผู้ใหญ่จากการไอเรื้อรังเป็นเวลาหลายเดือน ก็เป็นโรคที่รบกวนกับชีวิตประจำวัน เช่น นอนไม่หลับ ไอจนซี่โครงหัก หรือใครที่มีโรคหอบหืดอยู่แล้วก็จะเป็นหนักมากกว่าเดิม” ศ. นพ.ธีระพงษ์ กล่าว
“โรคไอกรนเป็นโรคติดเชื้อจากสิ่งที่ไอออกมาเช่น เสมหะ การไอเป็นชุดและระยะของโรค 2 เดือน จึงมีโอกาสแพร่เชื้อเยอะมาก ผู้ป่วยโรคไอกรน 1 คน เมื่อมีอาการไอติดต่อกัน ก็มีโอกาสสูงถึงร้อยละ 30-50% ที่จะทำให้ผู้ใกล้ชิดเป็นไอกรนไปด้วย จึงนับได้ว่าเป็นโรคที่ติดต่อได้ง่ายมากโรคหนึ่ง”
เมื่อ 50 ปีก่อน โรคไอกรนเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญเนื่องจากพบผู้ป่วยโรคนี้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่เป็นจำนวนมาก จนเมื่อ 30 – 40 ปีก่อน หลายประเทศรวมทั้งประเทศไทยเริ่มฉีดวัคซีนไอกรนในเด็กเล็กเพื่อสร้างภูมิป้องกันโรคไอกรน และพบว่าอัตราการตายลดลงหลังจากนั้น
อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2543 เป็นต้นมา (หรือ 25 ปี) ภายหลังการปูพรมฉีดวัคซีนไอกรน ก็เริ่มมีรายงานจากต่างประเทศเกี่ยวกับการพบผู้ป่วยไอกรนโดยเฉพาะในผู้ใหญ่
ในราวปีปีพ.ศ. 2556 กลุ่มโรคติดเชื้อ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์ จุฬา เริ่มสนใจศึกษาผู้ใหญ่ที่มีอาการไอเรื้อรังเกิน 3 อาทิตย์ ที่รักษาแต่ไม่หาย และได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ว่าเป็น “หลอดลมอักเสบ”
“เราพบว่าร้อยละ 1.3% ของผู้ป่วยผู้ใหญ่ที่ไอเรื้อรังเป็นโรคไอกรน!” ศ. นพ.ธีระพงษ์ กล่าวและเพิ่มเติมว่าข้อค้นพบดังกล่าวทำให้ทีมแพทย์ จุฬาฯ กลับไปดูเคสเด็กเล็ก อายุ 1 – 3 ปี ที่มีอาการไอเป็นชุด ก็พบเคสที่เป็นโรคไอกรนเช่นกัน
“เราเลยศึกษาว่าทำไมถึงเกิดเหตุแบบนี้ แล้วพบว่าการวินิจฉัยโรคไอกรนวินิจฉัยยาก การเพาะเชื้อ Bordetella pertussis ยากมาก ปัจจุบันต้องใช้วิธีตรวจโดย PCR ดูแหล่งโมเลกุลซึ่งมีราคาแพงและไม่ได้สามารถตรวจได้ทุกที่ ตอนที่เราทำวิจัยในปีปีพ.ศ. 2556 ก็ต้องให้กระทรวงสาธารณสุขช่วย และพบว่า โรคไอกรนทั้งเด็กและผู้ใหญ่ยังมีอยู่ เหมือนกับต่างประเทศที่ยังมีโรคนี้อยู่แต่ไม่มีใครรู้เพราะไม่มีการวินิจฉัย ในสหภาพยุโรป ช่วง 10 ปีมานี้ ก็กลับมาให้ความสนใจโรคไอกรนมากขึ้น” ศ. นพ.ธีระพงษ์ กล่าว
มาตรการป้องกันและควบคุมโรคโดยกระทรวงสาธารณสุข ได้จัดบริการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไอกรนสำหรับเด็กและหญิงตั้งครรภ์ ฟรี ที่สถานบริการสาธารณสุขของรัฐทั่วประเทศ สำหรับเด็กเล็ก จะได้รับวัคซีนรวมป้องกันโรคคอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรน 5 เข็ม เริ่มที่ช่วงอายุ 2, 4, 6 และ 18 เดือน และวัคซีนกระตุ้นในช่วงอายุ 4-6 ปี สำหรับหญิงตั้งครรภ์ จะได้รับวัคซีนป้องกันโรคไอกรนในช่วงครรภ์สัปดาห์ที่ 27-36
อย่างไรก็ดี วัคซีนไอกรนมีประสิทธิภาพคุ้มครองโรคได้ยาวที่สุด 5 ปี แพทย์จึงแนะนำให้วัยรุ่นและผู้ใหญ่ ฉีดวัคซีนไอกรนทุก ๆ 10 ปี ซึ่งส่วนนี้เป็นส่วนที่ประชาชนต้องออกค่าใช้จ่ายเอง
วัคซีนไอกรนสำหรับเด็กตั้งแต่ 7 ปี ถึงวัยผู้ใหญ่ในปัจจุบันมีทั้งแบบที่นำเข้าและผลิตภายในประเทศ สนนราคาจัดว่าสูง โดยเฉพาะสำหรับกลุ่มเสี่ยงที่อาจจะเข้าถึงวัคซีนลำบาก ทีมคณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ จึงคิดค้นวัคซีนป้องกันไอกรนที่ประสิทธิภาพดีเหมือนเดิม แต่ในปริมาณฉีดที่น้อยลง เพื่อลดราคาวัคซีน
ศ. นพ.ธีระพงษ์ อธิบายวัคซีนรุ่นเก่าและวัคซีนรุ่นใหม่ ดังนี้
วัคซีนรุ่นเก่าเป็นวัคซีนที่นำเข้าจากต่างประเทศ เป็นวัคซีนรวมคอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรน (ชนิดทั้งเซลล์) เรียกว่า DTP (Diphtheria-Tetanus-Pertussis (whole cell) : DTP vaccine) ใช้ในการป้องกันเด็กเล็ก โดยจะฉีดทุก 2 เดือน 4 เดือน 6 เดือน 1 ½ ปี และ 5 ปี แต่วัคซีนชนิดนี้ใช้กับเด็กโตเกินกว่า 7 ปีไม่ได้เนื่องจากมีผลข้างเคียง เช่น อาการชัก
สำหรับเด็กเกินกว่า 7 ปีและผู้ใหญ่ มีการพัฒนาวัคซีนรวมคอตีบ-ไอกรน-บาดทะยักชนิดไร้เซลล์ เรียกว่า Tdap (Tetanus, Diphtheria, Pertussis Vaccine) เป็นวัคซีนไร้เซลล์เรียกว่า Acellular Pertussis โดยนำเอาเซลล์ที่เป็นชนิดของแบคทีเรียมาย่อยทำให้ไม่มีเซลล์ และเกิดเป็นผลิตภัณฑ์ที่ก่อภูมิคุ้มกันมาใช้เป็นวัคซีน
“ภูมิคุ้มกันโรคไอกรนจากวัคซีนรุ่นเก่าอยู่ได้แค่ 2-3 ปี ส่วนคอตีบและบาดทะยักอยู่ได้ 10 – 20 ปี” ศ. นพ.ธีระพงษ์ กล่าว
วัคซีนไอกรนรุ่นใหม่ เป็นวัคซีนที่พัฒนาขึ้นโดยบริษัทสัญชาติไทยไบโอเนท-เอเชีย มี 2 ชนิด ได้แก่
“วัคซีนรุ่นใหม่สำหรับหญิงตั้งครรภ์ วัยรุ่นที่มีความเสี่ยง และผู้ใหญ่ที่มีโรคประจำตัว ใช้กระบวนการผลิตใหม่เรียกว่า Recombinant Protein โดยนำยีนของเชื้อ Bordetella Pertussis ไปใส่ในแบคทีเรียตัวอื่นและให้แบคทีเรียตัวอื่นสร้างโปรตีนที่ทำหน้าที่สร้างภูมิคุ้มกัน โครงสร้างของโปรตีนไม่ถูกทำลายโดยสารเคมี ผลทดสอบภูมิคุ้มกันสูงขึ้นและนานกว่าเพราะรูปร่างโปรตีนที่สร้างจากแบคทีเรียตัวอื่นไม่ผิดเพี้ยน” ศ. นพ.ธีระพงษ์ อธิบายกระบวนการผลิตวัคซีนรุ่นใหม่
“การฉีดวัคซีนในหญิงตั้งครรภ์เพื่อให้แม่ส่งภูมิคุ้มกันมาให้ลูก เด็กเล็กอายุน้อยกว่า 2 เดือนก็มีภูมิจากการฉีดในแม่ผ่านมาสู่ลูก เมื่ออายุเกิน 2 เดือนเด็กก็ได้เริ่มการฉีดวัคซีนก้จะเริ่มสร้างภูมิเองได้ก็คือฉีดในเด็กไป 2 เข็มก็มีภูมิแล้ว นอกจากนี้การฉีดวัคซีนไอกรนเดี่ยวยังจำเป็นสำหรับหญิงตั้งครรภ์หัวปีท้ายปี ถ้าฉีดวัคซีนรวมคอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรนจะทำให้ได้รับวัคซีนคอตีบและบาดทะยักมากเกินไป”
กระบวนการผลิตวัคซีนไอกรนแบบใหม่ด้วยวิธี Recombinant Protein ทำมาได้ 10 ปีแล้ว แต่เริ่มมีการจำหน่ายเมื่อ 3-4 ปีที่ผ่านมานี้เอง เป็นวัคซีนไอกรนในขนาด 5 ไมโครกรัม ราคาเข็มละ 700 – 800 บาท ซึ่งจัดว่ายังมีราคาสูงอยู่สำหรับประชากรหลายกลุ่ม ศ. นพ.ธีระพงษ์ และทีมวิจัยวัคซีนจึงมีแนวคิดที่จะทำให้วัคซีนราคาถูกลงในประสิทธิภาพดีเท่าเดิม
“ถ้าจะให้วัคซีนนี้ฟรีสำหรับหญิงตั้งครรภ์ และเด็กวัยรุ่น ราคาวัคซีนต้องถูกลง วัคซีน TdaP หรือ aP ขนาด 5 ไมโครกรัมดีอยู่แล้ว มีภูมิยาวไม่น้อยกว่า 5 ปี แต่รู้สึกว่าขนาดปริมาณมากเกินไป”
ทีมวิจัย จุฬาฯ จึงขอทุนจากทางรัฐบาลเพื่อสนับสนุนการวิจัย และทำงานร่วมกับบริษัทเอกชน (ไบโอเนท-เอเชีย) ในการศึกษาลดจำนวนขนาดของวัคซีน Recombinant Pertussis จาก 5 ไมโครกรัม ให้เหลือแค่ 2 ไมโครกรัมเพื่อให้ราคาถูกลงและเป็นวัคซีนที่มีประสิทธิภาพดี
“ผลการศึกษาพบว่าการลดขนาดยาไม่ทำให้ภูมิคุ้มกันลดลง และไม่เสียคุณสมบัติของการสร้างภูมิคุ้มกัน ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นเปรียบเทียบกับวัคซีนรุ่นเก่าที่ขายทั่วไป ไม่ต่างกัน ดูจะน้อยกว่าด้วยซ้ำ ผลข้างเคียงที่ว่าคืออาการปวด บวมแดงตรงตำแหน่งที่ฉีดเหมือนกับการฉีดวัคซีนทั่วไป” ศ. นพ.ธีระพงษ์ กล่าว
วัคซีนไอกรนรุ่นใหม่แบบลดขนาด มี 2 แบบ ได้แก่
“หมายเลข 2 คือขนาดของวัคซีน 2 ไมโครกรัม ขณะนี้Boostagen 2 ได้รับการขึ้นทะเบียนยาแล้ว และ Pertagen 2 กำลังรอจดทะเบียนอยู่ คาดว่าจะผลิตและขายได้ภายใน 2 ปีจากนี้ สำหรับราคาขายยังไม่ได้กำหนด แต่เราจะทำให้ราคาถูกกว่าวัคซีนที่ขายอยู่ขณะนี้”
ศ. นพ.ธีระพงษ์ หวังว่าเมื่อวัคซีนราคาถูกลง รัฐบาลจะพิจารณาซื้อเพื่อนำไปสนับสนุนการฉีดวัคซีนให้กับหญิงตั้งครรภ์ วัยรุ่น และผู้ใหญ่ที่มีโรคประจำตัว
“เมื่อวัคซีนมีราคาถูกลง เราหวังว่ารัฐบาลจะพิจารณาซื้อเพราะเป็นวัคซีนที่รัฐฯ สนับสนุนการทำวิจัยเอง และสำหรับบริษัทไบโอเนท-เอเชีย ก็ได้ผลประโยชน์ในการนำเอาวัคซีนตัวนี้ไปส่งขายต่างประเทศด้วย”
ศ. นพ.ธีระพงษ์ กล่าวว่าขณะนี้ กลุ่มประเทศในสหภาพยุโรปกำลังพิจารณานำเข้าวัคซีนรุ่นใหม่แบบลดขนาดจากประเทศไทย
“น่าภูมิใจที่ต่างประเทศจะเอาวัคซีนกลุ่มนี้เข้าประเทศ อย่างกลุ่มประเทศยุโรบคือ EU กำลังพิจารณานำเข้าวัคซีนรุ่นใหม่นี้เข้าไปใช้ ถ้าผ่านการพิจารณาแล้ว ก็จะเป็นวัคซีนตัวแรกที่วิจัยและผลิตโดยคนไทยที่จะนำเอาเข้าไปใช้ในยุโรป นอกจากนี้ อินเดียและสิงคโปร์ก็สนใจนำเข้าวัคซีนจากประเทศไทยด้วย”
วัคซีนไอกรนปัจจุบันป้องกันโรคได้ดีพอสมควร ผลการฉีดวัคซีนไอกรนในหญิงตั้งครรภ์พบว่าโรคไอกรนในเด็กลดลง 90% แต่ปัญหาคือความสามารถในการป้องกันโรคยังอยู่ได้ไม่นาน
“วัคซีนรุ่นเก่าจากต่างชาติอยู่ได้ 2 – 3 ปี วัคซีนปัจจุบันที่คนไทยผลิตอยู่ได้ 5 ปี แต่จะอยู่ถึง 10 ปีหรือเปล่ายังตอบไม่ได้ ถ้าอยู่ถึง 10 ปีก็จะจบว่าถ้าฉีดวัคซีนคอตีบ-ไอกรน-บาดทะยักครอบคลุมระยะเวลา 10 ปีเท่ากัน”
การทำให้วัคซีนมีภูมิคุ้มกันถึง 10 ปี จึงเป็นเป้าหมายลำดับถัดไปสำหรับทีมแพทย์ จุฬาฯ
“การผลิตวัคซีนโดยใช้วิธี Recombinant Protein ดีอยู่แล้ว แต่จะทำอย่างไรให้อยู่นานขึ้น เช่น การเติมสารเสริมภูมิ หรือจำเป็นต้องใช้ขนาดยาสูงกว่านี้ หรือต้องฉีดซ้ำหรือไม่ เป็นวิธีการคิดต่อไปในอนาคต”
สุดท้าย ศ. นพ.ธีระพงษ์ กล่าวย้ำถึงความสำคัญของการรับวัคซีนไอกรนว่า “โรคไอกรนเป็นโรคหนึ่งที่คิดว่าหายไปแล้ว แต่จริง ๆ ยังมีอยู่ วัคซีนไอกรนรุ่นใหม่อย่างน้อยตอนนี้ข้อมูลที่มีอยู่คือไม่น้อยกว่า 5 ปี ผู้ที่เคยฉีดคอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรนมาแล้ว โรคคอตีบและบาดทะยักมีภูมิคุ้มกันได้ 10 ปี แนะนำให้ฉีดวัคซีนไอกรนเดี่ยวเพิ่ม หญิงตั้งครรภ์ฉีดวัคซีนรวมไปแล้ว และตั้งครรภ์อีกควรจะฉีดเฉพาะวัคซีนไอกรนเช่นกัน”
ข้อมูลอ้างอิงกรมควบคุมโรค https://www.chula.ac.th/news/234270/
MICROCAP เครื่องผลิตออกซิเจนจากจุลสาหร่าย กำจัด CO₂ เติมอากาศบริสุทธิ์ในอาคาร
ภาควิชานาฏยศิลป์ จุฬาฯ พร้อมสร้างศิลปินนักวิชาการ อนุรักษ์-สร้างสรรค์-วิจัย เสริมพลังเศรษฐกิจในโลกดิจิทัลด้วย Soft Power
ข้าวหลามกึ่งสำเร็จรูป ของฝากจากชุมชน ไปได้ไกลถึงต่างแดน
เรียนฟรี! คอร์สออนไลน์ “แผ่นดินไหว” จากจุฬาฯ เพิ่มความตระหนัก รับมือภัยพิบัติปลอดภัย
ศูนย์รักษ์พุง จุฬาฯ บริการครบวงจร รักษาโรคอ้วนแบบองค์รวม
จุฬาฯ จับมือ The Ocean Cleanup ใช้กล้องและ AI วิเคราะห์ปริมาณและเส้นทางขยะในแม่น้ำ หวังวางแนวทางการจัดการขยะก่อนออกทะเล
จุฬาฯ เป็นที่ที่เราได้มาพบตัวเองจริงๆ และเป็นช่วงเวลาที่สนุกที่สุด คุณรสสุคนธ์ กองเกตุ (ครูเงาะ) นิสิตเก่า คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
จุฬาฯ เป็นที่ที่เราได้มาพบตัวเองจริงๆ และเป็นช่วงเวลาที่สนุกที่สุด
คุณรสสุคนธ์ กองเกตุ (ครูเงาะ) นิสิตเก่า คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีให้กับท่าน และเพื่อพัฒนาคุณภาพการให้บริการเว็บไซต์ที่ตรงต่อความต้องการของท่านมากยิ่งขึ้น ท่านสามารถทราบรายละเอียดเกี่ยวกับคุกกี้ได้ที่ นโยบายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และท่านสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า
ท่านสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น
ประเภทของคุกกี้ที่มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้ท่านสามารถใช้เว็บไซต์ได้อย่างเป็นปกติ ท่านไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลพฤติกรรมการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน โดยมีจุดประสงค์คือนำข้อมูลมาวิเคราะห์เพื่อปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ให้มีคุณภาพ และสร้างประสบการณ์ที่ดีกับผู้ใช้งาน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด หากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราอาจไม่สามารถวัดผลเพื่อการปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ให้ดีขึ้นได้ รายละเอียดคุกกี้