รู้จักจุฬาฯ
การบริหาร
อัตลักษณ์มหาวิทยาลัย
Green University
Sustainability
ติดต่อจุฬาฯ
บริจาคให้จุฬาฯ
หลักสูตร
การสมัครเข้าศึกษา
หน่วยงานการศึกษา
บริการนิสิต
บริการวิชาการ
บริการทางการแพทย์
บริการตรวจวิเคราะห์คุณภาพ
สารสนเทศและการสื่อสาร
พื้นที่สร้างสรรค์
ข่าวสารและความเคลื่อนไหว
วารสารจุฬาฯ
สาระความรู้
Highlights
2 ธันวาคม 2568
ผู้เขียน ญาดา หริรักษาพิทักษ์
ดุษฎีบัณฑิตจุฬาฯ พัฒนาผลิตภัณฑ์แฟชั่นจากเปลือกทุเรียนเหลือทิ้ง คุณสมบัติระบายอากาศได้ดีกว่าผ้าไหมล้วน และต้านเชื้อแบคทีเรียได้เกือบ 100 % หวังสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ หนุน Soft Power ไทยสู่เวทีโลกด้วยแบรนด์ MUW เสื้อผ้าแฟชั่นที่ผสานธรรมชาติ ศิลปะ และความเชื่อสายมูอย่างลงตัว นวัตกรรมคว้ารางวัลดีเด่นจากงานมหกรรมงานวิจัยแห่งชาติ 2567
ประเทศไทยเป็นแหล่งผลิต “ทุเรียน” อันดับหนึ่งของโลก ด้วยอัตราการส่งออกที่เพิ่มสูงขึ้นถึง 488 % ทั้งในรูปแบบผลสดและผลิตภัณฑ์แปรรูป อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จทางเศรษฐกิจกลับนำมาซึ่งปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ท้าทาย เมื่อข้อมูลระหว่างปี 2560-2564 เผยว่ามีเศษเหลือทิ้งจากเปลือกทุเรียนสูงถึง 146 ล้านกิโลกรัมต่อปี และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันการจัดการเศษเหลือทิ้งเหล่านี้ใช้วิธีการฝังกลบหรือเผาทำลาย ซึ่งไม่เพียงเป็นภาระของเกษตรกร แต่ยังสร้างมลพิษที่ส่งผลกระทบรุนแรงต่อสภาพแวดล้อมและสุขภาพของผู้คนในระยะยาวด้วย
ในฐานะผู้ที่ชื่นชอบแฟชั่นและสิ่งทอ และใส่ใจปัญหาสิ่งแวดล้อม ดร.อุษา ประชากุล ดุษฎีบัณฑิตจากคณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สาขาวิชานฤมิตศิลป์ (แฟชั่นและสิ่งทอ) หาทางออกด้วยการสร้างสรรค์ “สิ่งทอหมุนเวียนจากเศษเหลือทิ้งเปลือกทุเรียน” (Circular Textile Innovation from Durian Peel Waste to Anti-bacterial Clothing) นับเป็นครั้งแรกในไทยที่มีการนำเปลือกทุเรียนมาพัฒนาเป็นนวัตกรรมสิ่งทอด้านเครื่องแต่งกาย
การวิจัยครั้งนี้เริ่มต้นจากการตั้งคำถามและศึกษาแนวทางการใช้ประโยชน์จากเปลือกทุเรียนเหลือทิ้งตั้งแต่ช่วงปีที่ 1 เทอม 2 ของการศึกษาระดับปริญญาเอก ก่อนจะค่อย ๆ พัฒนาและทดลองอย่างต่อเนื่องเป็นเวลากว่า 3 ปี จนสำเร็จสมบูรณ์เป็นชิ้นงานและผลิตภัณฑ์ที่พร้อมต่อยอดเชิงพาณิชย์ภายใต้แบรนด์ MUW.OFFICIAL ในปีสุดท้ายของหลักสูตร
นวัตกรรมนี้ไม่เพียงช่วยแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม แต่ยังสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ หนุนเศรษฐกิจชุมชนและส่งเสริมซอฟต์พาวเวอร์ (Soft Power) ของไทยไปสู่เวทีโลกด้วย จนได้รับรางวัลดีเด่นการประกวดผลงานนวัตกรรมสายอุดมศึกษาประจำปี 2567 ด้านพลังงาน สิ่งแวดล้อม เทคโนโลยี และ BCG Economy Model ในงานมหกรรมงานวิจัยแห่งชาติ 2567 และได้รับรางวัล Excellence Award ในงาน The 24th International FABI Fashion Exhibition 2024 จาก Korean Society of Fashion Business ประเทศเกาหลีใต้ รวมถึงยังได้รับทุนสนับสนุนต่อยอดวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกในการขยายฐานการผลิตเส้นใยและผืนผ้าทอฯ ในทุน Innovation to Business จากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.)
ก่อนจะมาถึงนวัตกรรม “สิ่งทอหมุนเวียนจากเศษเหลือทิ้งเปลือกทุเรียน” ดร.อุษา มีประสบการณ์และความคุ้นเคยในการพัฒนาเส้นใยจากพืชเศรษฐกิจมาก่อน ในการศึกษาระดับปริญญาโท ดร.อุษา พัฒนาเส้นใยจากเปลือกสับปะรดที่เหลือทิ้งในภาคการเกษตร แล้วนำมาสร้างสรรค์เป็นคอลเลกชันกระเป๋า
ต่อมา เมื่อศึกษาในระดับปริญญาเอก ดร.อุษา จึงต่อยอดความสนใจของตัวเอง โดยสำรวจพืชเศรษฐกิจอื่น ๆ ที่มีศักยภาพในการนำมาทำเส้นใย แล้วก็ได้ข้อสรุปที่ “ทุเรียน” – พืชเศรษฐกิจที่มีเปลือกเหลือทิ้งเป็นจำนวนมากในแต่ละปีและยังมีคุณสมบัติที่เหมาะสมในการนำมาทำเป็นเส้นใยอีกด้วย
“เปลือกทุเรียนมีเซลลูโลสธรรมชาติสูงถึง 30 เปอร์เซ็นต์ มีคุณสมบัติเชิงกลคล้ายคลึงกับเส้นใยฝ้ายและป่าน จึงสามารถนำมาใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมสิ่งทอได้”
อย่างไรก็ตาม การสกัดเปลือกทุเรียนให้เป็นเส้นใยที่มีคุณภาพนั้นเป็นขั้นตอนที่ยากและท้าทาย ดร.อุษา เล่าว่า “ช่วงแรก เราเอาเปลือกทุเรียนมาตากแห้ง แล้วนำมาต้มและอบจนได้เส้นใย แต่เส้นใยที่ได้กรอบและแข็งกระด้าง ไม่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้”
ความล้มเหลวคือจุดเริ่มต้นของการแสวงหาความรู้เพิ่มเติม พื้นที่วิจัยในจังหวัดจันทบุรีเป็นแหล่งปลูกทุเรียนที่สำคัญและมีเศษเหลือทิ้งจากเปลือกทุเรียนจำนวนมาก ที่นั่น ดร.อุษา ได้พบและได้รับคำแนะนำจากอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี จันทบุรี ผู้มีประสบการณ์ในการสกัดเส้นใยจากเปลือกทุเรียนเพื่อทำกระดาษบรรจุภัณฑ์
“วิธีการที่ได้เรียนรู้และนำมาทดลองก็คือการแช่ดองเปลือกทุเรียนในน้ำเปล่า วิธีนี้จะไม่ทำให้เส้นใยทุเรียนเสียสภาพ จากนั้นก็นำมาแยกเส้นใยที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้”
เมื่อได้แนวทางสกัดเปลือกทุเรียนเป็นเส้นใยที่มีคุณภาพแล้ว ขั้นตอนสำคัญต่อไปคือการทดลองทอเส้นใยเป็นผืนผ้า ซึ่งในขั้นตอนนี้ ดร.อุษาได้ทำงานร่วมกับชุมชนโดยเน้นใช้ทักษะองค์ความรู้ทางภูมิปัญญาในการปั่นเส้นด้ายด้วยมือ (หรือการเข็นเส้นด้าย) แบบชุมชน
“การทดลองทอผืนผ้าเริ่มจากต้นแบบเส้นด้ายเบอร์ NE12 ในอัตราส่วนไหม 80 เปอร์เซ็นต์ ผสมใยทุเรียน 20 เปอร์เซ็นต์ จากนั้นทดลองทอผืนผ้าในอัตราส่วนต่าง ๆ ตั้งแต่ 50:50, 60:40, 70:30, 80:20 และ 90:10 ของเส้นไหม ต่อเส้นไหมผสมใยทุเรียน โดยกำหนดให้เส้นด้ายไหมเป็นเส้นยืนและเส้นด้ายไหมผสมใยทุเรียนเป็นเส้นพุ่ง” ดร.อุษา อธิบายแนวทางการทดลอง
ผืนผ้าทุกอัตราส่วนจะได้รับการทดสอบประสิทธิภาพอย่างละเอียดถี่ถ้วนจาก LAB TEST รวมถึงสถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอประเทศไทยที่ครอบคลุมทั้งด้านเคมีและกายภาพ ซึ่งมีการทดสอบกรด-เบส การซัก/ปั่น การส่องกล้องจุลทรรศน์ทั้งก่อนและหลังซัก การทดสอบความแข็งแรง (Tensile Strength) การระบายอากาศ (Air Permeability) และการต้านเชื้อแบคทีเรีย
“จากการทดสอบประสิทธิภาพทั้งทางด้านเคมีและทางกายภาพ พบว่าผ้าไหมผสมใยทุเรียนในอัตราส่วน 50:50 สามารถระบายอากาศได้ดีกว่าผืนผ้าไหม 100 % เกือบเท่าตัว เพราะผืนผ้าไหมผสมใยทุเรียนมีค่าการระบายอากาศสูงถึง 59.46 ลูกบาศก์เซนติเมตรต่อตารางเซนติเมตรต่อวินาที ในขณะที่ผ้าไหม 100 % มีค่าการระบายอากาศเพียง 39.68 ลูกบาศก์เซนติเมตรต่อตารางเซนติเมตรต่อวินาที นอกจากนี้ ผืนผ้าที่พัฒนาขึ้นนั้นยังมีประสิทธิภาพในการต้านเชื้อแบคทีเรียได้สูงถึง 99.92 เปอร์เซ็นต์”
ด้วยคุณสมบัติการระบายอากาศและการต้านเชื้อแบคทีเรียที่ดีเยี่ยม ดร.อุษา เชื่อมั่นว่าผืนผ้าไหมผสมใยทุเรียนจะตอบโจทย์ผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับเรื่องสุขอนามัยและความรู้สึกสบายในการสวมใส่เสื้อผ้า
นวัตกรรมนี้สามารถพัฒนาสู่ผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงได้” ดร.อุษา กล่าวและเสนอแนวทางการเพิ่มมูลค่าของผลิตภัณฑ์ไว้ 2 แบบด้วยกัน โดยแนวทางแรกเป็นการร่วมมือกับชุมชน อาศัยองค์ความรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่นและฝีมือของคนชุมชนในการทอผืนผ้า (ปั่นด้ายด้วยมือหรือการเข็นเส้นด้าย) ส่วนอีกแนวทางเป็นการทำงานกับโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งใช้วิธีการปั่นด้ายแบบวงแหวน (Ring Spinning) เพื่อผลิตเส้นด้ายในเชิงพาณิชย์
ซึ่งในช่วงเริ่มต้น กระบวนการผลิตผ้าจากเส้นใยทุเรียนจะใช้วิธีการแบบชุมชนทั้งหมด 100% ตั้งแต่การเข็นเส้นใย การย้อมสีเส้นใย ไปจนถึงการทอผืนผ้า อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาถึงความต้องการของตลาดและระยะเวลาในการผลิต ดร.อุษา จึงได้ปรับกระบวนการโดยนำเส้นใยทุเรียนผสมกับไหมไปผลิตผ่านเครื่องจักรในโรงงาน ซึ่งช่วยให้กระบวนการเข็นเส้นใยเร็วขึ้นและตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้ดีขึ้น ขณะที่กระบวนการย้อมสีเส้นใยและการทอผืนผ้ายังคงใช้ภูมิปัญญาของชุมชน 100% เหมือนเดิม เพื่อรักษาคุณค่าและเอกลักษณ์ของงานฝีมือดั้งเดิมเอาไว้
งานวิจัยนวัตกรรม “สิ่งทอหมุนเวียนจากเศษเหลือทิ้งเปลือกทุเรียน” ไม่ได้จบลงที่เส้นด้าย ด้วยคุณสมบัติเหนือชั้นของผืนผ้า ดร.อุษา ต่อยอดไปสู่ผลิตภัณฑ์แฟชั่นไลฟ์สไตล์ภายใต้แบรนด์ MUW.OFFICIAL (มูวว์ ออฟฟิเชียล) ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของผลผลิตจากงานวิจัยชุดนี้ ด้วยแนวคิดการออกแบบที่ทันสมัย
ดร.อุษา กล่าวว่าแบรนด์ดังกล่าวใช้แนวคิดสิ่งทอเคลื่อนไหว (Kinetic Textiles) และโครงสร้างเคลื่อนไหว (Kinetic Structures) ในลักษณะการเคลื่อนไหวของลายเส้นผ่านทัศนธาตุ สร้างให้เกิดมิติความลวงตา เพื่อสร้างรูปทรงที่สอดรับกับสรีระของผู้หญิง ช่วยเสริมความมั่นใจและบุคลิกภาพที่ดีของผู้ที่สวมใส่ โดยจุดเด่นที่โดดเด่นของแบรนด์คือการนำภูมิปัญญาการทอมือของชุมชนที่สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นมาสร้างสรรค์ลวดลายสัตว์มงคล 9 ลวดลาย ได้แก่ กวาง (มั่งมีศรีสุข) เสือ (ผู้นำ) สิงโต (อำนาจ) มังกร (โชคลาภ) นกยูง (มงคล) หงส์ (เจริญรุ่งเรือง) กบสามขา (เพิ่มพูนเงินทอง) ม้า (พลังความสำเร็จ) และปลา (มั่งคั่งร่ำรวย)
“ใยทุเรียนยังถือเป็นเส้นใยจากไม้มงคลประเภทหนึ่ง เมื่อนำมาทอผ่านลวดลายสัตว์มงคล ซึ่งเป็นการถอดสัญลักษณ์ตามทฤษฎีสัญวิทยา นี่คือการผสมผสานระหว่างความเชื่อทางวัฒนธรรมกับนวัตกรรมสมัยใหม่ เป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์ในมิติที่ลึกซึ้งกว่าแค่การใช้งาน แต่ยังเป็นการยึดเหนี่ยวจิตใจและส่งเสริมความเชื่อเรื่องสิริมงคล” ดร.อุษา กล่าวถึงจุดเด่นของแบรนด์
MUW.OFFICIAL มีผลิตภัณฑ์หลากหลายประเภทและรูปแบบ ตั้งแต่เครื่องแต่งกาย กระเป๋า รองเท้า เครื่องประดับ ไปจนถึงผลิตภัณฑ์ตกแต่งบ้าน ทั้งหมดผลิตผ่านกรรมวิธีทางธรรมชาติและภูมิปัญญาการทอมือ
แบรนด์ MUW.OFFICIAL เปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อปีที่แล้ว (2567) โดยใช้ช่องทางออนไลน์ในการสื่อสารการตลาดและขายผลิตภัณฑ์ ดร.อุษา กล่าวว่ากลุ่มเป้าหมายหลักของแบรนด์คือ Generation Y อายุ 27-42 ปี ซึ่งคนกลุ่มนี้มีทั้งคนที่ทำงานประจำและต้องการประสบความสำเร็จ กับกลุ่มผู้ประกอบการรุ่นเยาว์ที่อยากจะประสบความสำเร็จทางธุรกิจ
จากการสัมภาษณ์ผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายจะพบว่า ทั้งสองกลุ่มนี้มีลักษณะร่วมกันคือความปรารถนาที่จะประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานตั้งแต่อายุยังน้อย และในขณะเดียวกัน ก็ตระหนักรู้ด้านสิ่งแวดล้อม สนใจผลิตภัณฑ์ที่มาจากวัสดุธรรมชาติ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและยั่งยืน และที่ขาดไม่ได้คือคนกลุ่มนี้สนใจผลิตภัณฑ์เสริมสิริมงคล ช่วยยึดเหนี่ยวจิตใจ หนุนนำไปสู่ความสำเร็จ” ดร.อุษา กล่าว
การผสานระหว่างความเชื่อเรื่องมงคลกับความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมนี้ทำให้ผลิตภัณฑ์จากเส้นใยทุเรียนตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มลูกค้า Gen Y ได้อย่างลงตัว ซึ่งเมื่อนำผลิตภัณฑ์ลงสู่ตลาดจริงผ่านการทดสอบออกบูธ ก็ได้ผลตอบรับที่เกินความคาดหมาย ผู้บริโภคให้ความสนใจและกระแสตอบรับเป็นอย่างดี สะท้อนให้เห็นว่ากลุ่มตลาดเป้าหมายที่กำหนดไว้ตั้งแต่ต้นนั้นถูกต้องและตรงกับความต้องการที่แท้จริงของผู้บริโภค
ดร.อุษา กล่าวว่าการมีทางเลือกใหม่ในการจัดการเศษเหลือทิ้งไม่เพียงแต่แก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม แต่ยังสร้างห่วงโซ่คุณค่าใหม่ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ
ชุมชนในจังหวัดจันทบุรีและพื้นที่อื่น ๆ ที่มีเศษเหลือทิ้งจากทุเรียนสามารถสร้างรายได้เสริม ลดปัญหาสิ่งแวดล้อม และยกระดับทักษะของช่างทอผ้าในชุมชน สำหรับภาครัฐก็ได้รับองค์ความรู้ใหม่ที่สามารถนำไปต่อยอดและขยายผลสู่ชุมชนอื่น ๆ และภาคเอกชนได้รับการสนับสนุนในการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากเส้นใยธรรมชาติ นำไปสู่การปรับตัวลดต้นทุนการผลิตในอนาคต โดยเฉพาะการลดการนำเข้าเส้นใยจากต่างประเทศ
“การพัฒนาผลิตภัณฑ์ชิ้นนี้เป็นการต่อยอดสู่การเป็น Soft Power ของไทยเพราะเป็นการผสานภูมิปัญญาท้องถิ่นกับนวัตกรรมสมัยใหม่ สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่มีเอกลักษณ์ ผ่านการเล่าเรื่องของวัฒนธรรม ความเชื่อ และความคิดสร้างสรรค์ที่หยั่งรากลึกในสังคมไทย ซึ่งแนวทางนี้จะนำไปต่อการยอดพัฒนา โดยสามารถปรับใช้ในพื้นที่อื่น ๆ ของประเทศไทยที่มีเหลือทิ้งจากพืชเศรษฐกิจ รวมถึงการพัฒนาปรับใช้กับวัสดุอื่น ๆ ที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงกันได้ เพราะสิ่งนี้ไม่ใช่แค่การแก้ปัญหาเศษเหลือทิ้ง แต่เป็นการสร้างระบบนิเวศใหม่ที่ยั่งยืน เชื่อมโยงตั้งแต่เกษตรกร ชุมชน อุตสาหกรรม ไปจนถึงผู้บริโภค” ดร.อุษา กล่าวปิดท้าย
นวัตกรรมเส้นใยจากเปลือกทุเรียนนับเป็นอีกหนึ่งต้นแบบของการพัฒนาที่ยั่งยืนเพื่อแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมจากเศษเหลือทิ้งในภาคการเกษตร และยังเป็นการสร้างวงจรเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และเสริมสร้างคุณค่าให้กับเศรษฐกิจสีเขียว (BCG Economy Model) อย่างเป็นรูปธรรม
สิ่งที่เกิดขึ้นนี้เป็นการเชื่อมระหว่างภูมิปัญญาท้องถิ่นกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ และเป็นเส้นทางสู่การสร้างมูลค่าจากสิ่งที่เคยถือว่าไร้ค่า จึงพิสูจน์ให้เห็นว่า ด้วยความคิดสร้างสรรค์และความมุ่งมั่น สิ่งที่ดูเหมือนเป็นปัญหาก็สามารถกลายเป็นโอกาสทองที่นำพาสังคมไปสู่อนาคตที่สดใสและยั่งยืนได้
สำหรับผู้ที่สนใจแบรนด์ MUW.OFFICIAL สามารถติดต่อและสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ได้แก่ Facebook, LINE OA, TikTok : muw.official และ Instagram : muw_official_
เจาะลึกนวดแผนไทย – ศาสตร์ด้านการแพทย์แผนไทยที่ยังคงอยู่ในทุกยุคสมัย
ER-VIPE เกมจำลองสถานการณ์ห้องฉุกเฉิน ฝึก Soft Skills นิสิตแพทย์ พร้อมช่วยชีวิตผู้ป่วยทันกาล
Molly Ally ไอศกรีมจากพืช เริ่มธุรกิจด้วย Passion พัฒนาสินค้าจาก Pain Point
อักษรฯ จุฬาฯ เปิดสอนรายวิชา “Dracula and Modern Culture” จากวรรณกรรมสยองขวัญสู่กระจกสะท้อนวัฒนธรรมร่วมใหม่
Deep GI ปัญญาประดิษฐ์ชี้ตำแหน่งมะเร็งทางเดินอาหาร เตรียมต่อยอดเป็นธุรกิจ Startup
Zero Formalin น้ำยารักษาสภาพร่างสัตว์ เพื่อห้องเรียนปลอดภัย ไร้ฟอร์มาลิน
จุฬาฯ เป็นที่ที่เราได้มาพบตัวเองจริงๆ และเป็นช่วงเวลาที่สนุกที่สุด คุณรสสุคนธ์ กองเกตุ (ครูเงาะ) นิสิตเก่า คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
จุฬาฯ เป็นที่ที่เราได้มาพบตัวเองจริงๆ และเป็นช่วงเวลาที่สนุกที่สุด
คุณรสสุคนธ์ กองเกตุ (ครูเงาะ) นิสิตเก่า คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีให้กับท่าน และเพื่อพัฒนาคุณภาพการให้บริการเว็บไซต์ที่ตรงต่อความต้องการของท่านมากยิ่งขึ้น ท่านสามารถทราบรายละเอียดเกี่ยวกับคุกกี้ได้ที่ นโยบายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และท่านสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า
ท่านสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น
ประเภทของคุกกี้ที่มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้ท่านสามารถใช้เว็บไซต์ได้อย่างเป็นปกติ ท่านไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลพฤติกรรมการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน โดยมีจุดประสงค์คือนำข้อมูลมาวิเคราะห์เพื่อปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ให้มีคุณภาพ และสร้างประสบการณ์ที่ดีกับผู้ใช้งาน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด หากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราอาจไม่สามารถวัดผลเพื่อการปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ให้ดีขึ้นได้ รายละเอียดคุกกี้