Highlights

จากเปลือกทุเรียนเหลือทิ้ง สู่นวัตกรรมแห่งความยั่งยืน ดุษฎีบัณฑิตจุฬาฯ พัฒนาเส้นใยผ้าทอจากเปลือกทุเรียนสำเร็จครั้งแรกในไทย ผสานภูมิปัญญาท้องถิ่น ส่งเสริม Soft Power ไทย


ดุษฎีบัณฑิตจุฬาฯ พัฒนาผลิตภัณฑ์แฟชั่นจากเปลือกทุเรียนเหลือทิ้ง คุณสมบัติระบายอากาศได้ดีกว่าผ้าไหมล้วน และต้านเชื้อแบคทีเรียได้เกือบ 100 % หวังสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ หนุน Soft Power ไทยสู่เวทีโลกด้วยแบรนด์ MUW เสื้อผ้าแฟชั่นที่ผสานธรรมชาติ ศิลปะ และความเชื่อสายมูอย่างลงตัว นวัตกรรมคว้ารางวัลดีเด่นจากงานมหกรรมงานวิจัยแห่งชาติ 2567


                ประเทศไทยเป็นแหล่งผลิต “ทุเรียน” อันดับหนึ่งของโลก ด้วยอัตราการส่งออกที่เพิ่มสูงขึ้นถึง 488 % ทั้งในรูปแบบผลสดและผลิตภัณฑ์แปรรูป อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จทางเศรษฐกิจกลับนำมาซึ่งปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ท้าทาย เมื่อข้อมูลระหว่างปี 2560-2564 เผยว่ามีเศษเหลือทิ้งจากเปลือกทุเรียนสูงถึง 146 ล้านกิโลกรัมต่อปี และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันการจัดการเศษเหลือทิ้งเหล่านี้ใช้วิธีการฝังกลบหรือเผาทำลาย ซึ่งไม่เพียงเป็นภาระของเกษตรกร แต่ยังสร้างมลพิษที่ส่งผลกระทบรุนแรงต่อสภาพแวดล้อมและสุขภาพของผู้คนในระยะยาวด้วย

ในฐานะผู้ที่ชื่นชอบแฟชั่นและสิ่งทอ และใส่ใจปัญหาสิ่งแวดล้อม ดร.อุษา ประชากุล ดุษฎีบัณฑิตจากคณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สาขาวิชานฤมิตศิลป์ (แฟชั่นและสิ่งทอ) หาทางออกด้วยการสร้างสรรค์ “สิ่งทอหมุนเวียนจากเศษเหลือทิ้งเปลือกทุเรียน” (Circular Textile Innovation from Durian Peel Waste to Anti-bacterial Clothing) นับเป็นครั้งแรกในไทยที่มีการนำเปลือกทุเรียนมาพัฒนาเป็นนวัตกรรมสิ่งทอด้านเครื่องแต่งกาย

การวิจัยครั้งนี้เริ่มต้นจากการตั้งคำถามและศึกษาแนวทางการใช้ประโยชน์จากเปลือกทุเรียนเหลือทิ้งตั้งแต่ช่วงปีที่ 1 เทอม 2 ของการศึกษาระดับปริญญาเอก ก่อนจะค่อย ๆ พัฒนาและทดลองอย่างต่อเนื่องเป็นเวลากว่า 3 ปี จนสำเร็จสมบูรณ์เป็นชิ้นงานและผลิตภัณฑ์ที่พร้อมต่อยอดเชิงพาณิชย์ภายใต้แบรนด์ MUW.OFFICIAL ในปีสุดท้ายของหลักสูตร

นวัตกรรมนี้ไม่เพียงช่วยแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม แต่ยังสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ หนุนเศรษฐกิจชุมชนและส่งเสริมซอฟต์พาวเวอร์ (Soft Power) ของไทยไปสู่เวทีโลกด้วย จนได้รับรางวัลดีเด่นการประกวดผลงานนวัตกรรมสายอุดมศึกษาประจำปี 2567 ด้านพลังงาน สิ่งแวดล้อม เทคโนโลยี และ BCG Economy Model ในงานมหกรรมงานวิจัยแห่งชาติ 2567  และได้รับรางวัล Excellence Award ในงาน The 24th International FABI Fashion Exhibition 2024 จาก Korean Society of Fashion Business ประเทศเกาหลีใต้ รวมถึงยังได้รับทุนสนับสนุนต่อยอดวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกในการขยายฐานการผลิตเส้นใยและผืนผ้าทอฯ ในทุน Innovation to Business จากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.)

ดร.อุษา ประชากุล ดุษฎีบัณฑิตจากคณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สาขาวิชานฤมิตศิลป์ (แฟชั่นและสิ่งทอ)
ดร.อุษา ประชากุล
ดุษฎีบัณฑิตคณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สาขาวิชานฤมิตศิลป์ (แฟชั่นและสิ่งทอ)

ก่อนจะมาถึงนวัตกรรม “สิ่งทอหมุนเวียนจากเศษเหลือทิ้งเปลือกทุเรียน” ดร.อุษา มีประสบการณ์และความคุ้นเคยในการพัฒนาเส้นใยจากพืชเศรษฐกิจมาก่อน ในการศึกษาระดับปริญญาโท ดร.อุษา พัฒนาเส้นใยจากเปลือกสับปะรดที่เหลือทิ้งในภาคการเกษตร แล้วนำมาสร้างสรรค์เป็นคอลเลกชันกระเป๋า

ต่อมา เมื่อศึกษาในระดับปริญญาเอก ดร.อุษา จึงต่อยอดความสนใจของตัวเอง โดยสำรวจพืชเศรษฐกิจอื่น ๆ ที่มีศักยภาพในการนำมาทำเส้นใย แล้วก็ได้ข้อสรุปที่ “ทุเรียน” – พืชเศรษฐกิจที่มีเปลือกเหลือทิ้งเป็นจำนวนมากในแต่ละปีและยังมีคุณสมบัติที่เหมาะสมในการนำมาทำเป็นเส้นใยอีกด้วย

“เปลือกทุเรียนมีเซลลูโลสธรรมชาติสูงถึง 30 เปอร์เซ็นต์ มีคุณสมบัติเชิงกลคล้ายคลึงกับเส้นใยฝ้ายและป่าน จึงสามารถนำมาใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมสิ่งทอได้”

อย่างไรก็ตาม การสกัดเปลือกทุเรียนให้เป็นเส้นใยที่มีคุณภาพนั้นเป็นขั้นตอนที่ยากและท้าทาย ดร.อุษา เล่าว่า “ช่วงแรก เราเอาเปลือกทุเรียนมาตากแห้ง แล้วนำมาต้มและอบจนได้เส้นใย แต่เส้นใยที่ได้กรอบและแข็งกระด้าง ไม่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้”

ความล้มเหลวคือจุดเริ่มต้นของการแสวงหาความรู้เพิ่มเติม พื้นที่วิจัยในจังหวัดจันทบุรีเป็นแหล่งปลูกทุเรียนที่สำคัญและมีเศษเหลือทิ้งจากเปลือกทุเรียนจำนวนมาก ที่นั่น ดร.อุษา ได้พบและได้รับคำแนะนำจากอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี จันทบุรี ผู้มีประสบการณ์ในการสกัดเส้นใยจากเปลือกทุเรียนเพื่อทำกระดาษบรรจุภัณฑ์

“วิธีการที่ได้เรียนรู้และนำมาทดลองก็คือการแช่ดองเปลือกทุเรียนในน้ำเปล่า วิธีนี้จะไม่ทำให้เส้นใยทุเรียนเสียสภาพ จากนั้นก็นำมาแยกเส้นใยที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้”

เปลือกทุเรียน

เมื่อได้แนวทางสกัดเปลือกทุเรียนเป็นเส้นใยที่มีคุณภาพแล้ว ขั้นตอนสำคัญต่อไปคือการทดลองทอเส้นใยเป็นผืนผ้า ซึ่งในขั้นตอนนี้ ดร.อุษาได้ทำงานร่วมกับชุมชนโดยเน้นใช้ทักษะองค์ความรู้ทางภูมิปัญญาในการปั่นเส้นด้ายด้วยมือ (หรือการเข็นเส้นด้าย) แบบชุมชน

“การทดลองทอผืนผ้าเริ่มจากต้นแบบเส้นด้ายเบอร์ NE12 ในอัตราส่วนไหม 80 เปอร์เซ็นต์ ผสมใยทุเรียน 20 เปอร์เซ็นต์ จากนั้นทดลองทอผืนผ้าในอัตราส่วนต่าง ๆ ตั้งแต่ 50:50, 60:40, 70:30, 80:20 และ 90:10 ของเส้นไหม ต่อเส้นไหมผสมใยทุเรียน โดยกำหนดให้เส้นด้ายไหมเป็นเส้นยืนและเส้นด้ายไหมผสมใยทุเรียนเป็นเส้นพุ่ง” ดร.อุษา อธิบายแนวทางการทดลอง

ผืนผ้าทุกอัตราส่วนจะได้รับการทดสอบประสิทธิภาพอย่างละเอียดถี่ถ้วนจาก LAB TEST รวมถึงสถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอประเทศไทยที่ครอบคลุมทั้งด้านเคมีและกายภาพ ซึ่งมีการทดสอบกรด-เบส การซัก/ปั่น การส่องกล้องจุลทรรศน์ทั้งก่อนและหลังซัก การทดสอบความแข็งแรง (Tensile Strength) การระบายอากาศ (Air Permeability) และการต้านเชื้อแบคทีเรีย

“จากการทดสอบประสิทธิภาพทั้งทางด้านเคมีและทางกายภาพ พบว่าผ้าไหมผสมใยทุเรียนในอัตราส่วน 50:50 สามารถระบายอากาศได้ดีกว่าผืนผ้าไหม 100 % เกือบเท่าตัว เพราะผืนผ้าไหมผสมใยทุเรียนมีค่าการระบายอากาศสูงถึง 59.46 ลูกบาศก์เซนติเมตรต่อตารางเซนติเมตรต่อวินาที ในขณะที่ผ้าไหม 100 % มีค่าการระบายอากาศเพียง 39.68 ลูกบาศก์เซนติเมตรต่อตารางเซนติเมตรต่อวินาที นอกจากนี้ ผืนผ้าที่พัฒนาขึ้นนั้นยังมีประสิทธิภาพในการต้านเชื้อแบคทีเรียได้สูงถึง 99.92 เปอร์เซ็นต์”

ด้วยคุณสมบัติการระบายอากาศและการต้านเชื้อแบคทีเรียที่ดีเยี่ยม ดร.อุษา เชื่อมั่นว่าผืนผ้าไหมผสมใยทุเรียนจะตอบโจทย์ผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับเรื่องสุขอนามัยและความรู้สึกสบายในการสวมใส่เสื้อผ้า

นวัตกรรมนี้สามารถพัฒนาสู่ผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงได้” ดร.อุษา กล่าวและเสนอแนวทางการเพิ่มมูลค่าของผลิตภัณฑ์ไว้ 2 แบบด้วยกัน โดยแนวทางแรกเป็นการร่วมมือกับชุมชน อาศัยองค์ความรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่นและฝีมือของคนชุมชนในการทอผืนผ้า (ปั่นด้ายด้วยมือหรือการเข็นเส้นด้าย) ส่วนอีกแนวทางเป็นการทำงานกับโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งใช้วิธีการปั่นด้ายแบบวงแหวน (Ring Spinning) เพื่อผลิตเส้นด้ายในเชิงพาณิชย์

ซึ่งในช่วงเริ่มต้น กระบวนการผลิตผ้าจากเส้นใยทุเรียนจะใช้วิธีการแบบชุมชนทั้งหมด 100% ตั้งแต่การเข็นเส้นใย การย้อมสีเส้นใย ไปจนถึงการทอผืนผ้า อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาถึงความต้องการของตลาดและระยะเวลาในการผลิต ดร.อุษา จึงได้ปรับกระบวนการโดยนำเส้นใยทุเรียนผสมกับไหมไปผลิตผ่านเครื่องจักรในโรงงาน ซึ่งช่วยให้กระบวนการเข็นเส้นใยเร็วขึ้นและตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้ดีขึ้น ขณะที่กระบวนการย้อมสีเส้นใยและการทอผืนผ้ายังคงใช้ภูมิปัญญาของชุมชน 100% เหมือนเดิม เพื่อรักษาคุณค่าและเอกลักษณ์ของงานฝีมือดั้งเดิมเอาไว้

งานวิจัยนวัตกรรม “สิ่งทอหมุนเวียนจากเศษเหลือทิ้งเปลือกทุเรียน” ไม่ได้จบลงที่เส้นด้าย ด้วยคุณสมบัติเหนือชั้นของผืนผ้า ดร.อุษา ต่อยอดไปสู่ผลิตภัณฑ์แฟชั่นไลฟ์สไตล์ภายใต้แบรนด์ MUW.OFFICIAL (มูวว์ ออฟฟิเชียล) ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของผลผลิตจากงานวิจัยชุดนี้ ด้วยแนวคิดการออกแบบที่ทันสมัย

ดร.อุษา กล่าวว่าแบรนด์ดังกล่าวใช้แนวคิดสิ่งทอเคลื่อนไหว (Kinetic Textiles) และโครงสร้างเคลื่อนไหว (Kinetic Structures) ในลักษณะการเคลื่อนไหวของลายเส้นผ่านทัศนธาตุ สร้างให้เกิดมิติความลวงตา เพื่อสร้างรูปทรงที่สอดรับกับสรีระของผู้หญิง ช่วยเสริมความมั่นใจและบุคลิกภาพที่ดีของผู้ที่สวมใส่ โดยจุดเด่นที่โดดเด่นของแบรนด์คือการนำภูมิปัญญาการทอมือของชุมชนที่สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นมาสร้างสรรค์ลวดลายสัตว์มงคล 9 ลวดลาย ได้แก่ กวาง (มั่งมีศรีสุข) เสือ (ผู้นำ) สิงโต (อำนาจ) มังกร (โชคลาภ) นกยูง (มงคล) หงส์ (เจริญรุ่งเรือง) กบสามขา (เพิ่มพูนเงินทอง) ม้า (พลังความสำเร็จ) และปลา (มั่งคั่งร่ำรวย)

“ใยทุเรียนยังถือเป็นเส้นใยจากไม้มงคลประเภทหนึ่ง เมื่อนำมาทอผ่านลวดลายสัตว์มงคล ซึ่งเป็นการถอดสัญลักษณ์ตามทฤษฎีสัญวิทยา นี่คือการผสมผสานระหว่างความเชื่อทางวัฒนธรรมกับนวัตกรรมสมัยใหม่ เป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์ในมิติที่ลึกซึ้งกว่าแค่การใช้งาน แต่ยังเป็นการยึดเหนี่ยวจิตใจและส่งเสริมความเชื่อเรื่องสิริมงคล” ดร.อุษา กล่าวถึงจุดเด่นของแบรนด์

MUW.OFFICIAL มีผลิตภัณฑ์หลากหลายประเภทและรูปแบบ ตั้งแต่เครื่องแต่งกาย กระเป๋า รองเท้า เครื่องประดับ ไปจนถึงผลิตภัณฑ์ตกแต่งบ้าน ทั้งหมดผลิตผ่านกรรมวิธีทางธรรมชาติและภูมิปัญญาการทอมือ

แบรนด์ MUW.OFFICIAL เปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อปีที่แล้ว (2567) โดยใช้ช่องทางออนไลน์ในการสื่อสารการตลาดและขายผลิตภัณฑ์ ดร.อุษา กล่าวว่ากลุ่มเป้าหมายหลักของแบรนด์คือ Generation Y อายุ 27-42 ปี ซึ่งคนกลุ่มนี้มีทั้งคนที่ทำงานประจำและต้องการประสบความสำเร็จ กับกลุ่มผู้ประกอบการรุ่นเยาว์ที่อยากจะประสบความสำเร็จทางธุรกิจ

จากการสัมภาษณ์ผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายจะพบว่า ทั้งสองกลุ่มนี้มีลักษณะร่วมกันคือความปรารถนาที่จะประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานตั้งแต่อายุยังน้อย และในขณะเดียวกัน ก็ตระหนักรู้ด้านสิ่งแวดล้อม สนใจผลิตภัณฑ์ที่มาจากวัสดุธรรมชาติ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและยั่งยืน และที่ขาดไม่ได้คือคนกลุ่มนี้สนใจผลิตภัณฑ์เสริมสิริมงคล ช่วยยึดเหนี่ยวจิตใจ หนุนนำไปสู่ความสำเร็จ” ดร.อุษา กล่าว

การผสานระหว่างความเชื่อเรื่องมงคลกับความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมนี้ทำให้ผลิตภัณฑ์จากเส้นใยทุเรียนตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มลูกค้า Gen Y ได้อย่างลงตัว ซึ่งเมื่อนำผลิตภัณฑ์ลงสู่ตลาดจริงผ่านการทดสอบออกบูธ ก็ได้ผลตอบรับที่เกินความคาดหมาย ผู้บริโภคให้ความสนใจและกระแสตอบรับเป็นอย่างดี สะท้อนให้เห็นว่ากลุ่มตลาดเป้าหมายที่กำหนดไว้ตั้งแต่ต้นนั้นถูกต้องและตรงกับความต้องการที่แท้จริงของผู้บริโภค

ดร.อุษา กล่าวว่าการมีทางเลือกใหม่ในการจัดการเศษเหลือทิ้งไม่เพียงแต่แก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม แต่ยังสร้างห่วงโซ่คุณค่าใหม่ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ

ชุมชนในจังหวัดจันทบุรีและพื้นที่อื่น ๆ ที่มีเศษเหลือทิ้งจากทุเรียนสามารถสร้างรายได้เสริม ลดปัญหาสิ่งแวดล้อม และยกระดับทักษะของช่างทอผ้าในชุมชน สำหรับภาครัฐก็ได้รับองค์ความรู้ใหม่ที่สามารถนำไปต่อยอดและขยายผลสู่ชุมชนอื่น ๆ และภาคเอกชนได้รับการสนับสนุนในการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากเส้นใยธรรมชาติ นำไปสู่การปรับตัวลดต้นทุนการผลิตในอนาคต โดยเฉพาะการลดการนำเข้าเส้นใยจากต่างประเทศ

“การพัฒนาผลิตภัณฑ์ชิ้นนี้เป็นการต่อยอดสู่การเป็น Soft Power ของไทยเพราะเป็นการผสานภูมิปัญญาท้องถิ่นกับนวัตกรรมสมัยใหม่ สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่มีเอกลักษณ์ ผ่านการเล่าเรื่องของวัฒนธรรม ความเชื่อ และความคิดสร้างสรรค์ที่หยั่งรากลึกในสังคมไทย ซึ่งแนวทางนี้จะนำไปต่อการยอดพัฒนา โดยสามารถปรับใช้ในพื้นที่อื่น ๆ ของประเทศไทยที่มีเหลือทิ้งจากพืชเศรษฐกิจ รวมถึงการพัฒนาปรับใช้กับวัสดุอื่น ๆ ที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงกันได้ เพราะสิ่งนี้ไม่ใช่แค่การแก้ปัญหาเศษเหลือทิ้ง แต่เป็นการสร้างระบบนิเวศใหม่ที่ยั่งยืน เชื่อมโยงตั้งแต่เกษตรกร ชุมชน อุตสาหกรรม ไปจนถึงผู้บริโภค” ดร.อุษา กล่าวปิดท้าย

นวัตกรรมเส้นใยจากเปลือกทุเรียนนับเป็นอีกหนึ่งต้นแบบของการพัฒนาที่ยั่งยืนเพื่อแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมจากเศษเหลือทิ้งในภาคการเกษตร และยังเป็นการสร้างวงจรเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และเสริมสร้างคุณค่าให้กับเศรษฐกิจสีเขียว (BCG Economy Model) อย่างเป็นรูปธรรม

สิ่งที่เกิดขึ้นนี้เป็นการเชื่อมระหว่างภูมิปัญญาท้องถิ่นกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ และเป็นเส้นทางสู่การสร้างมูลค่าจากสิ่งที่เคยถือว่าไร้ค่า จึงพิสูจน์ให้เห็นว่า ด้วยความคิดสร้างสรรค์และความมุ่งมั่น สิ่งที่ดูเหมือนเป็นปัญหาก็สามารถกลายเป็นโอกาสทองที่นำพาสังคมไปสู่อนาคตที่สดใสและยั่งยืนได้

สำหรับผู้ที่สนใจแบรนด์ MUW.OFFICIAL สามารถติดต่อและสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ได้แก่ Facebook, LINE OA, TikTok : muw.official และ Instagram : muw_official_

จุฬาฯ เป็นที่ที่เราได้มาพบตัวเองจริงๆ และเป็นช่วงเวลาที่สนุกที่สุด

คุณรสสุคนธ์ กองเกตุ (ครูเงาะ) นิสิตเก่า คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ไอคอน PDPA

เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีให้กับท่าน และเพื่อพัฒนาคุณภาพการให้บริการเว็บไซต์ที่ตรงต่อความต้องการของท่านมากยิ่งขึ้น ท่านสามารถทราบรายละเอียดเกี่ยวกับคุกกี้ได้ที่ นโยบายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และท่านสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

ท่านสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

อนุญาตทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้ที่มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้ท่านสามารถใช้เว็บไซต์ได้อย่างเป็นปกติ ท่านไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลพฤติกรรมการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน โดยมีจุดประสงค์คือนำข้อมูลมาวิเคราะห์เพื่อปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ให้มีคุณภาพ และสร้างประสบการณ์ที่ดีกับผู้ใช้งาน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด หากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราอาจไม่สามารถวัดผลเพื่อการปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ให้ดีขึ้นได้
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า