รู้จักจุฬาฯ
การบริหาร
อัตลักษณ์มหาวิทยาลัย
Green University
Sustainability
ติดต่อจุฬาฯ
บริจาคให้จุฬาฯ
หลักสูตร
การสมัครเข้าศึกษา
หน่วยงานการศึกษา
บริการนิสิต
บริการวิชาการ
บริการทางการแพทย์
บริการตรวจวิเคราะห์คุณภาพ
สารสนเทศและการสื่อสาร
พื้นที่สร้างสรรค์
ข่าวสารและความเคลื่อนไหว
วารสารจุฬาฯ
สาระความรู้
ข่าวสารจุฬาฯ
9 กันยายน 2562
ข่าวเด่น
หน่วยวิจัยฯ DIRU นิเทศ จุฬาฯ เสนอแนวทางการสอนความรอบรู้ทางดิจิทัลและรู้เท่าทันสื่อ เน้นความรู้ เข้าใจ วิเคราะห์ และฝึกทักษะชีวิตให้สามารถใช้สื่อดิจิทัลได้อย่างปลอดภัยและได้ประโยชน์ เรียนรู้ผ่านประเด็นปัญหา กรณีศึกษา จากเหตุการณ์จริง และจำลองเหตุการณ์ โดยให้ผู้เรียนได้วิเคราะห์ วิพากษ์ เรียนรู้ และตอบสนองต่อเหตุการณ์ได้อย่างปลอดภัย และได้จัดทำต้นแบบบทเรียนออนไลน์เผยแพร่บนเว็บไซต์ www.thaidigitalyouth.net
รศ.ดร.พนม คลี่ฉายา หัวหน้าหน่วยปฏิบัติการวิจัยและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ด้านความรอบรู้ทางดิจิทัลและการรู้เท่าทันสื่อ (DIRU) คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า จากงานวิจัยสำรวจการใช้งานสื่อออนไลน์ของนักเรียนมัธยมศึกษาพบว่า นักเรียนใช้สื่อออนไลน์ทั้งในด้าน การเรียน ความบันเทิง การรวมกลุ่ม และแสดงออกถึงความเป็นตัวตน โดยกิจกรรมออนไลน์ที่นักเรียนทำบ่อยๆ ได้แก่ ใช้เป็นแหล่งเรียนรู้ หาข้อมูลประกอบการเรียน ดูหนัง ฟังเพลง เล่นเกม ติดตามดาราที่ชื่นชอบ ใช้สร้างกลุ่มบนไลน์ เฟซบุ๊ก ติดตามข่าวสาร และ ใช้โพสต์รูปภาพ เรื่องราว หรือเข้ากลุ่มสนทนา หรือสมัครสมาชิกเว็บไซต์ หรือติดตามเพจต่างๆ เพื่อแสดงความเป็นตัวตนของตนเอง ในภาพรวมเด็กส่วนใหญ่เลือกที่จะไม่เข้าไปดูหรืออ่านเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมที่อาจจะนำไปสู่ความเสี่ยงอันตราย อย่างไรก็ตาม มีกลุ่มตัวอย่างส่วนน้อย (ร้อยละ 4) ที่ระบุว่าตนเองเคยเข้าถึงเนื้อหาด้านเพศ เกมรุนแรง การพนัน และเคยแสดงออกด้วยความรุนแรงอยู่บ่อยๆ และมีจำนวนร้อยละ 23 ระบุว่าคุยกับคนแปลกหน้าบนออนไลน์บ่อยๆ ผลการวิจัยนี้สะท้อนให้เห็นว่า นักเรียนมีโอกาสพบเจอความเสี่ยงจากการใช้งานสื่อออนไลน์ได้ แม้ตัวเลขอาจจะดูเล็กน้อย แต่ต้องให้ความสำคัญในการป้องกันความเสี่ยง และเสริมสร้างให้มีความรอบรู้และรู้ทันเพื่อสามารถเผชิญกับสถานการณ์ความเสี่ยงบนโลกออนไลน์ได้อย่างปลอดภัย
รศ.ดร.พนม กล่าวว่า “การสอนเรื่องความรอบรู้ทางดิจิทัลและรู้ทันสื่อเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ช่วยลดและป้องกันความเสี่ยงอันตรายจากการใช้งานสื่อออนไลน์ สิ่งท้าทายคือ จะสอนกันอย่างไรถึงจะสร้างทักษะชีวิตให้กับนักเรียนได้จริง จึงได้มีการศึกษาถึงแนวทางการสอนเรื่องนี้ ผลวิจัยชี้แนะว่า การสอนต้องเน้นผลสัมฤทธิ์การเรียนที่มุ่งสร้างความคิดเชิงวิเคราะห์ ฝึกทักษะและพฤติกรรมที่นักเรียนสามารถตอบสนองต่อเหตุการณ์ความเสี่ยงบนโลกออนไลน์ได้อย่างปลอดภัย และสอนให้สามารถใช้ประโยชน์จากสื่อออนไลน์ได้ ไม่ควรเน้นท่องจำ ในด้านเนื้อหาการสอนจะต้องเป็นเรื่องราวที่เชื่อมโยงหรือเป็นเหตุการณ์ในชีวิตประจำวัน ของนักเรียน โดยต้องเข้าใจด้วยว่าเหตุการณ์ที่นักเรียนแต่ละวัยพบเจอนั้นไม่เหมือนกันทุกเรื่อง นักเรียน ม.ต้น และ ม.ปลาย มีการใช้สื่อออนไลน์แตกต่างกันตามช่วงวัยและประสบการณ์ ดังนั้นเนื้อหาการสอนควร แตกต่างกันตามเหตุการณ์ในแต่ละช่วงวัยของผู้เรียน สำหรับการออกแบบกิจกรรมการสอนควรใช้แนวทาง การเรียนรู้ทั้งการเรียนรู้ด้วยการคิดวิเคราะห์เชิงวิพากษ์ (Critical Approach) ร่วมกับการเรียนรู้จากประสบการณ์ตนเอง (Constructivist Approach) โดยสามารถออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ได้หลากหลาย ได้แก่ การเรียนรู้ผ่านการตั้งคำถาม ประเด็นปัญหา (Problem-based Learning) ใช้กรณีศึกษา (Case Study) จากเหตุการณ์จริง และจำลองเหตุการณ์ โดยให้ผู้เรียนได้วิเคราะห์ วิพากษ์ เรียนรู้ และตอบสนองต่อเหตุการณ์ได้อย่างอย่างปลอดภัยและใช้ประโยชน์ได้ และยังสามารถใช้การเรียนรู้ผ่านการทำโครงงาน (Project-based Learning) และออกแบบกิจการการเรียนรู้ที่สนุก มีปฏิสัมพันธ์กับผู้เรียน เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ด้วยตนเองมากขึ้น ผลการวิจัยยังบ่งชี้ประเด็นสำคัญอีกประการหนึ่งคือ ครูมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในความสำเร็จของการเรียนรู้ บทบาทของครู ซึ่งงานวิจัยชี้แนะว่า ครูสามารถเปลี่ยนจากผู้สอนมาเป็นโค้ช หรือผู้ให้คำแนะนำแก่ผู้เรียน โดยครูจะกระตุ้นการเรียนรู้ กำกับการเรียนรู้ ให้คำแนะนำวิธีการตอบสนองต่อเหตุการณ์อย่างปลอดภัย ชวนผู้เรียนคิด วิเคราะห์ เพิ่มเติมมุมมองและประสบการณ์ให้แก่ผู้เรียน”
ส่วนหนึ่งของแนวทางการสอนดังกล่าวได้นำมาพัฒนาเป็นต้นแบบบทเรียนออนไลน์ ที่สามารถเรียนรู้ด้วยตนเองบนเว็บไซต์ และครูสามารถใช้ประกอบการเรียนในห้องเรียนได้ รศ.ดร.พนม ให้รายละเอียดเพิ่มเติมว่า “เราได้เผยแพร่ต้นแบบบทเรียนออนไลน์จากผลการวิจัย ทางเว็บไซต์ www.thaidigitalyouth.net ครูสามารถใช้ประกอบการสอนในห้องเรียน โดยไม่จำเป็นต้องบรรยายเนื้อหา แต่มอบหมายให้นักเรียนเข้าไปเรียนด้วยตนเองจากต้นแบบบทเรียนบนเว็บไซต์ก่อนถึงคาบเรียน แล้วใช้เวลาในคาบเรียนแลกเปลี่ยนความเห็น อภิปราย ชวนคิดวิเคราะห์และให้คำแนะนำ ตามแนวทางการสอนแบบห้องเรียนกลับด้าน (Flipped Classroom) นอกจากนี้ผู้ปกครองสามารถนำมาใช้เป็นบทเรียนเสริมการเรียนรู้ให้แก่บุตรหลานของตนเองได้ ต้นแบบบทเรียนที่เผยแพร่มี 4 เรื่อง ได้แก่ 1.การใช้ชีวิตอย่างไรในโลกความจริงและโลกเสมือนออนไลน์ 2.เรียนรู้เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงและอันตรายบนออนไลน์ 3.เพิ่มทักษะการใช้สื่อออนไลน์ให้ประโยชน์ ต่อตนเองและสังคม และ 4.เสริมสร้างสู่ความเป็นพลเมืองดิจิทัลบนออนไลน์ ท้ายบทเรียนยังมีคำถามเพื่อทดสอบผู้เรียนอีกด้วย และบนเว็บไซต์ยังมีเอกสารบทเรียนที่ครูและผู้สนใจสามารถดาวน์โหลดไปปรับใช้สอนได้”
งานวิจัยได้เสนออีกว่า โครงสร้างเนื้อหาสำหรับสอนให้นักเรียนมัธยมมีความรอบรู้ทางดิจิทัลและรู้ทันเท่าสื่อประกอบด้วย 5 กลุ่มสาระ และในแต่ละกลุ่มสาระมีวิธีการสอน ดังต่อไปนี้
สาระที่ 1 : การเข้าถึง การใช้งาน และการอ่านสื่อดิจิทัล โดยวิธีการสอนเน้นการอภิปรายระหว่างครูกับนักเรียนโดยใช้กรณีศึกษา
สาระที่ 2 : ความรู้พื้นฐานสู่การรู้เท่าทันสื่อดิจิทัล ด้านองค์กรสื่อดิจิทัล กฎหมาย การแยกแยะประเภทเนื้อหา พฤติกรรมการเสพติดสื่อดิจิทัล โอกาสที่นำไปสู่ความเสี่ยงอันตราย โดยวิธีการสอนเน้นการคิด ประเมิน และวิพากษ์ความถูกต้อง ใช้เหตุการณ์ที่ใกล้ชิดกับนักเรียนมาวิเคราะห์ โดยมีครูเป็นผู้ช่วยในการเรียนรู้ ให้คำแนะนำ หรือโค้ช (Coach)
สาระที่ 3 : รู้เท่าทันชีวิตดิจิทัล และใช้อย่างปลอดภัย ได้ประโยชน์ เน้นการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem–based Learning) การสอนแบบประเด็นศึกษา (Issue-based Learning)
สาระที่ 4 : สร้างสรรค์สื่อดิจิทัลเพื่อชีวิตและสังคมที่ดี เป็นการออกแบบ ผลิตสร้างสรรค์สื่อดิจิทัล รวมทั้งเทคนิควิธีการแทรกแซงของธุรกิจและเจ้าของสื่อในขั้นตอนการผลิต ใช้วิธีการสอนแบบโครงงานเป็นฐาน (Project-based Learning)
สาระที่ 5 : เรียนรู้อยู่เสมอเพื่อการรู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงในอนาคต เป็นการคาดการณ์ การเปลี่ยนแปลงสื่อดิจิทัลในอนาคต และการเตรียมตนเองให้พร้อมเพื่อดำเนินชีวิตอย่างรู้ทันสื่อดิจิทัล ใช้วิธีการสอนแบบการสืบค้นข้อมูล การวาดภาพ บทบาทสมมติ
ทั้งนี้ งานวิจัยดังกล่าวเป็นผลงานวิจัยของหน่วยปฏิบัติการวิจัยและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ด้านความรอบรู้ทางดิจิทัลและการรู้เท่าทันสื่อ หรือ DIRU ซึ่งเป็นหน่วยปฏิบัติการวิจัยในสังกัด คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มี รศ.ดร.พนม คลี่ฉายา เป็นหัวหน้าหน่วยปฏิบัติการวิจัยฯ ได้รับการสนับสนุนจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มุ่งสร้างงานวิจัยและเผยแพร่ความรู้จากงานวิจัยสู่สังคมเพื่อประโยชน์ทางการศึกษา การเรียนการสอนและการวิจัยด้านการรู้เท่าทันสื่อดิจิทัล ส่งเสริมศักยภาพคนไทยที่รอบรู้ทางดิจิทัลและรู้ทันสื่อ รองรับสังคมยุคดิจิทัลในปัจจุบันและอนาคต
สามารถดาวน์โหลดเอกสารงานวิจัยและต้นแบบบทเรียนได้ที่ www.thaidigitalyouth.net
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมเยี่ยมชมศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล จุฬาฯ ชื่นชมความก้าวหน้าด้านวิทยาศาสตร์และอุตสาหกรรมฮาลาล
สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาฯ ร่วมมือ สสส. – พม. สานพลังภาคีเครือข่ายขับเคลื่อนงานคนไร้บ้าน
โครงการ Dogcoola กิจกรรมดี ๆ ที่สร้างสรรค์โดยนิสิตสัตวแพทย์ จุฬาฯ เชิญชวนบริจาคโลหิตช่วยชีวิตคนและส่งเสริมสวัสดิภาพสัตว์
นายกสภาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเปิดการประชุมวิชาการนานาชาติด้านวิทยาศาสตร์สาธารณสุข ครั้งที่ 24 Public Health 360: From Policy to Practice
เชิญร่วมกิจกรรม Chula Lunch Talk : GenAI x งานวิจัย: 1 ปี ที่เปลี่ยนไป! ความท้าทายใหม่ ที่นักวิจัยต้องรู้
CU Top 10 News กรกฎาคม – กันยายน 2567
จุฬาฯ สนับสนุนให้อาจารย์ทำงานวิจัย นับว่าเป็นสิ่งที่ดีมากต่อทั้งอาจารย์ นิสิต รวมถึงภาคประชาสังคม รองศาสตราจารย์ ดร.สุชนา ชวนิชย์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
จุฬาฯ สนับสนุนให้อาจารย์ทำงานวิจัย นับว่าเป็นสิ่งที่ดีมากต่อทั้งอาจารย์ นิสิต รวมถึงภาคประชาสังคม
รองศาสตราจารย์ ดร.สุชนา ชวนิชย์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีให้กับท่าน และเพื่อพัฒนาคุณภาพการให้บริการเว็บไซต์ที่ตรงต่อความต้องการของท่านมากยิ่งขึ้น ท่านสามารถทราบรายละเอียดเกี่ยวกับคุกกี้ได้ที่ นโยบายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และท่านสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า
ท่านสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น
ประเภทของคุกกี้ที่มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้ท่านสามารถใช้เว็บไซต์ได้อย่างเป็นปกติ ท่านไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลพฤติกรรมการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน โดยมีจุดประสงค์คือนำข้อมูลมาวิเคราะห์เพื่อปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ให้มีคุณภาพ และสร้างประสบการณ์ที่ดีกับผู้ใช้งาน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด หากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราอาจไม่สามารถวัดผลเพื่อการปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ให้ดีขึ้นได้ รายละเอียดคุกกี้