รู้จักจุฬาฯ
การบริหาร
อัตลักษณ์มหาวิทยาลัย
Green University
Sustainability
ติดต่อจุฬาฯ
บริจาคให้จุฬาฯ
หลักสูตร
การสมัครเข้าศึกษา
หน่วยงานการศึกษา
บริการนิสิต
บริการวิชาการ
บริการทางการแพทย์
บริการตรวจวิเคราะห์คุณภาพ
สารสนเทศและการสื่อสาร
พื้นที่สร้างสรรค์
ข่าวสารและความเคลื่อนไหว
วารสารจุฬาฯ
สาระความรู้
ข่าวสารจุฬาฯ
21 มีนาคม 2561
ข่าวเด่น
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดเวทีจุฬาฯ เสวนา ครั้งที่ 12 เรื่อง “ฝ่าวิกฤตโรคพิษสุนัขบ้า” เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 15 มีนาคม 2561 ณ ห้องประชุม 202 อาคารจามจุรี 4 เพื่อเผยแพร่ความรู้ สร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับโรคพิษสุนัขบ้าที่กำลังแพร่ระบาดอยู่ในขณะนี้ โดยมี ผศ.ดร.พิรงรอง รามสูต รองอธิการบดี จุฬาฯ เป็นผู้กล่าวเปิดงานเสวนา ดำเนินรายการโดย คุณสุผจญ กลิ่นสุวรรณ ผู้ประกาศข่าวสถานีโทรทัศน์ PPTV
ศ.สพ.ญ.ดร.สันนิภา สุรทัตต์ รองคณบดีนโยบายและแผน และอาจารย์ภาควิชาจุลชีววิทยา คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวถึงสถานการณ์โรคพิษสุนัขบ้าว่า ได้กลับมาอยู่ในความสนใจของประชาชนในทุกระดับ เนื่องจากเริ่มมีข่าวการพบเห็นสัตว์เป็นโรคพิษสุนัขบ้ามากขึ้น และมีผู้ติดเชื้อ รวมทั้งมีผู้เสียชีวิต ทำให้คนในสังคมเริ่มกังวล ข้อมูลจากกรมปศุสัตว์ พบว่า 4 ปีที่ผ่านมา พบโรคพิษสุนัขบ้ามากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งอาจเกิดจากการที่คนตื่นตัวในเรื่องนี้ และการตรวจวินิจฉัยที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยพบกระจายตัวในวงกว้างและพบในพื้นที่เดิมๆ สัตว์ที่นำโรคสู่คน 90 % คือสุนัข ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่ติดจากการสัมผัสหรือถูกกัดจากสุนัขที่ได้เชื้อมาก่อน ซึ่งสุนัขกลุ่มนี้ส่วนใหญ่เป็นสุนัขที่ไม่ได้รับวัคซีนมาก่อนหรือไม่ทราบประวัติ
ศ.สพ.ญ.ดร.สันนิภา เผยอีกว่า โรคพิษสุนัขเป็นโรคที่ป้องกันได้ ถ้าเราให้วัคซีนถูกต้อง และควบคุมจำนวนประชากรให้มีอัตราส่วนของสัตว์ที่มีภูมิคุ้มกันอยู่ในพื้นที่มากพอ ประเทศไทยมีจำนวนสุนัขและแมวประมาณ 10 ล้านตัว ในเชิงทฤษฎี หากมีภูมิคุ้มกันเกิน 70% เชื่อว่าจะหยุดโรคได้ ในปี 2557 เราใช้วัคซีนไปประมาณ 20 ล้านโดส ซึ่งสุนัขหนึ่งตัวก็อาจได้รับวัคซีนมากกว่า 1 ครั้ง และมีการผลิตวัคซีนประมาณ 15 – 20 ล้านโดสมาโดยตลอด แต่ในช่วงปี 2558 มีข้อสงสัยเรื่องอำนาจขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการให้วัคซีน ซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้ออกกฎหมายมารองรับแล้ว ทำให้ในปี 2559 ได้ลดการใช้วัคซีนเหลือ 5 ล้านโดส และในปีเดียวกันก็มีการเรียกคืนวัคซีนไม่ได้มาตรฐานประมาณ 3.5 ล้านโดส
“เราควรจะมองปัญหาอย่างจริงจังแล้วว่า เรามีสุนัขมากขึ้นเรื่อยๆ แต่การให้วัคซีนของเราทำได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ขณะนี้เป็นวิกฤติของภูมิคุ้มกันสุนัขทั้งประเทศที่มีต่ำเกินไป จนไม่สามารถหยุดการแพร่กระจายของโรคได้ เป็นที่น่าสังเกตว่า ปี 2560 ผ่านช่วงการเรียกคืนวัคซีนไปแล้ว แต่การปริมาณใช้ก็ยังยังอยู่ที่ 5 – 6 ล้านโดส ซึ่งในปี 2561 หน่วยงานต่างๆ ก็ระดมกำลังเต็มที่ เมื่อร่วมกับการให้ความรู้แก่ประชาชนในหลายภายส่วน เชื่อว่าปัญหาตรงนี้น่าจะลดลงในที่สุด โดยเป้าหมายที่ต้องเร่งประชาสัมพันธ์ขณะนี้คือสัตว์ที่เกิดในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาและที่ไม่เคยได้รับวัคซีนมาก่อน” ศ.สพ.ญ.ดร.สันนิภา กล่าว
ในส่วนของกรุงเทพมหานคร สพ.ญ.เบญจวรรณ สิชฌนาสัย ผู้อำนวยการสำนักงานสัตวแพทย์สาธารณสุข สำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร เผยว่า โรคพิษสุนัขบ้ามีแนวโน้มลดลงตั้งแต่ปี 2554 เริ่มไม่พบผู้เสียชีวิต พบเพียง 1 รายในปี 2555 และปี 2559 ในปีนี้ตามข่าวที่เสียชีวิต 6 ราย ก็เป็นสัตว์ไม่ใช่คน โดยพื้นที่ที่พบในกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่จะเป็นซีกตะวันออก เช่น ลาดกระบัง หนองจอก บางขุนเทียน ในปีนี้ 6 ราย ที่พบคือ บางเขน บางซื่อ จตุจักร เพราะฉะนั้นการจะบอกว่าส่วนไหนปลอดโรคพิษสุนัขบ้าก็เป็นเรื่องยาก
สพ.ญ.เบญจวรรณ ระบุการดำเนินการของกรุงเทพฯ ว่า เน้นการสร้างภูมิคุ้มกันโรคพิษสุนัขบ้า ตอนนี้เรามีการรณรงค์พร้อมกันใน 50 เขต เป็นเวลา 2 สัปดาห์ มีหน่วยดำเนินการออกฉีดวัคซีน 500 หน่วย ขณะเดียวกันก็มีคลินิกดูแลสัตว์เลี้ยงกระจายทั่วกรุงเทพฯ 8 แห่ง มีหน่วยเคลื่อนที่ตามหน่วยงานหรือชุมชนร้องขอ ด้านการควบคุมจำนวนพาหะนำโรค เน้นเรื่องการทำหมัน ทั้งสุนัขและแมวเพศผู้ เพศเมีย ทั้งจรจัดและมีเจ้าของ และมีหน่วยจับสุนัขจรจัดตามที่ร้องเรียน โดยจะรับไปเลี้ยงดูจนหมดอายุขัย และกรุงเทพฯ ได้ออกข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องการควบคุมการเลี้ยงหรือปล่อยสุนัข พ.ศ. 2548 บังคับให้สุนัขมีเจ้าของต้องจดทะเบียน ฉีดไมโครชิป และทำทะเบียนประวัติ นอกจากนี้ยังมีทีมเฝ้าระวังสอบสวนโรคพิษสุนัขบ้าเคลื่อนที่เร็ว ดำเนินการสอบสวนโรคภายใน 24 ชั่วโมงหลังจากได้รับรายงาน ค้นหาคนที่สัมผัสโรคเพื่อการให้รักษา และนำสัตว์ที่สัมผัสโรคไปกักดูอาการ เป็นเวลา 6 เดือน
“ปัญหาและอุปสรรคส่วนใหญ่คือประชาชนบางส่วนยังขาดความรับผิดชอบในการเลี้ยงสัตว์อย่างถูกต้อง ไม่นำสัตว์เลี้ยงไปฉีดวัคซีน รวมทั้งอัตรากำลังสัตวแพทย์มีอยู่จำนวนจำกัด ส่งผลให้บริการได้ไม่ครอบคลุม รวมทั้งทัศนคติที่ไม่ดีต่อการนำสุนัขไปเลี้ยงดูในสถานพักพิง ตลอดจนการบังคับใช้กฎหมายที่ยังไม่มีประสิทธิภาพ ซึ่งแนวทางการแก้ไขนั้น กรุงเทพฯ ได้จับมือเป็นพันธมิตรทำงานร่วมกันกับเครือข่ายคนรักสัตว์จัดกิจกรรมต่างๆ มีการเข้าไปเจรจาชี้แจงเมื่อมีกรณีความขัดแย้งเรื่องสุนัขจรจัด รวมทั้งมีอาสาสมัครดูแลรักษาและหาบ้านให้สัตว์ในศูนย์พักพิง
สำหรับประเด็นที่มีการพูดถึงเรื่องการเซตซีโร่ หรือการกำจัดสุนัขจรจัดให้หมดไป สพ.ญ.เบญจวรรณ แสดงทัศนะว่า ในอดีตกรุงเทพฯ เคยมีการทำลายสุนัขจรจัดมาก่อน แต่เมื่อไปดูตัวเลขเก่าๆ ก็พบว่ามีการทำลายสุนัขไปเท่าไร เมื่อทำการสำรวจก็ยังมีอีกมากเท่านั้น ปัญหาจำนวนสุนัขจรจัด ส่วนหนึ่งเพิ่มจำนวนด้วยตัวมันเอง ซึ่งกรุงเทพฯ มีการทำหมัน 2 – 3 หมื่นตัวทุกปี หากไม่มีการปล่อยเพิ่มมันต้องจบ จำนวนต้องลด เพราะฉะนั้นคิดว่าการเซตซีโร่หรือวิธีการใดวิธีการหนึ่งไม่ใช่วิธีการแก้ไขปัญหาเบ็ดเสร็จ
ด้าน น.สพ.วีระ เทพสุเมธานนท์ อดีตผู้ทรงคุณวุฒินายสัตวแพทย์ สถานเสาวภา สภากาชาดไทย กล่าวถึงการการวินิจฉัยโรคพิษสุนัขบ้าว่า เมื่อคนหรือสัตว์ที่ติดเชื้อเสียชีวิต วิธีที่ดีที่สุดในปัจจุบันคือการตรวจเชื้อจากสมองด้วยวิธี DFA หรือการย้อมสีพิเศษและดูด้วยกล้องจุลทรรศน์เรืองแสง ซึ่งสถานที่ส่งตรวจโรคพิษสุนัขบ้าในประเทศไทยมี 24 แห่งทั่วประเทศ หรือสามารถติดต่อปศุสัตว์ได้เลย หากยังไม่เสียชีวิตจะใช้วิธีตรวจทางการแพทย์หรือสัตวแพทย์ เฉพาะสุนัขกับแมวจะดูอาการ 10 วันนับจากวันที่กัดคน หากยังไม่ตายก็ไม่ใช่โรคพิษสุนัขบ้า
น.สพ.วีระ ระบุการวินิจฉัยโรคสุนัขที่ยังไม่เสียชีวิตว่า จากการทำงานด้านนี้มา 30 กว่าปี ยังไม่พบสุนัขอายุน้อยกว่า 1 เดือนเป็นโรค หากป่วยมากกว่า 10 วัน หรือมีอาการกะทันหัน มีอาการดีขึ้นในระยะ 3 วัน ก็ไม่ใช่โรคพิษสุนัขบ้า เพราะจุดตั้งต้นของการป่วยจะเริ่มต้นการป่วยเป็นระยะๆ คือระยะทั่วไป ดุร้าย และเป็นอัมพาต นอกจากนี้มี 3 กลุ่มอาการที่มีโอกาสสูงที่จะเป็นโรคพิษสุนัขบ้า คือ อาการกลืนกินลำบาก เช่น คางห้อย ไม่สามารถหุบปากได้ ลิ้นที่แลบออกมาจะเป็นสีแดงคล้ำหรือแดงม่วง ฯลฯ อาการเป็นอัมพาต 2 ขาหลัง เช่น เดินวิ่งแข็งๆ ฯลฯ และอาการทางประสาทอื่นๆ เช่น มีอาการแปลกๆ กัดกินสิ่งแปลกปลอม ดุร้ายผิดปกติ คือกัดมากกว่า 1 ตัวหรือ 1 คน ภายใน 1 สัปดาห์ วิ่งโดยไม่มีจุดหมาย นั่งสัปหงก ฯลฯ
“คนไทยที่ตายด้วยโรคพิษสุนัขบ้าเกือบ 100 % เกิดจากถูกสุนัขกัด กลุ่มนี้ไม่ไปหาหมอ ไม่สนใจแผลที่ถูกกัด ไม่ทำความสะอาดและยังเข้าใจว่าถูกสุนัขมีเจ้าของหรือลูกสุนัขกัดไม่เป็นไร ซึ่งก็วกกลับมาที่เรื่องการศึกษา หากถูกกัดแล้วมีการล้างแผลและฉีดวัคซีนหลังสัมผัสโรค ก็อาจไม่เป็นโรคพิษสุนัขบ้าได้ จุดที่สำคัญที่สุดคือเมื่อใดก็ตามที่เราถูกสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมกัด จะสงสัยว่าเป็นโรคหรือไม่ก็ตาม ต้องผ่านกระบวนการล้างด้วยน้ำประปาและฟอกสบู่ เพราะจะทำให้ปริมาณเชื้อไวรัสพิษสุนัขบ้าลดเหลือน้อยมากหรืออาจจะถึงศูนย์เลยก็ได้ ยิ่งใส่ยาใส่แผลสดก็จะสามารถช่วยลดเชื้อลงได้” น.สพ.วีระ กล่าว
สำหรับภาคประชาชน กลุ่มสานสายใยชีวิต SOS ซึ่งเป็นต้นแบบที่ประสบความสำเร็จในการดูแลสุนัขจรจัด ได้มาร่วมแบ่งปันประสบการณ์ในการเสวนาครั้งนี้ โดยคุณบุญโฮม แสนเมืองชิน ผู้แทนกลุ่มฯ เล่าว่า เริ่มต้นจากการจัดการสุนัขจรจัดในหมู่บ้าน โดยจับสุนัขไปทำหมัน และทำวัคซีนรวมให้ทุกปี จากนั้นเริ่มไปตามวัดต่างๆ เมื่อสุนัขมีลูกจะนำมาหาบ้านที่ตลาดนัดวันศุกร์ จุฬาฯ จากนั้นเริ่มมาจับสุนัขในจุฬาฯ ไปทำหมัน และนำมาพักที่บ้านพักฟื้นสุนัขและแมวจรจัด เมื่อมีสุขภาพดีก็จะส่งคืนที่เดิม ซึ่งเราทำต่อเนื่องกันมา 20 ปีแล้ว จนจำนวนสุนัขในจุฬาฯ ลดลง ตามชุมชนที่มีสุนัขจรจัดก็จะร่วมมือกันมาทำหมันให้จำนวนลดลง โดยเราจะไม่เคลื่อนย้ายสัตว์ไปอยู่ที่อื่น เอามาจากชุมชนไหนก็ต้องเอากลับไปคืนที่เดิม
ด้าน อ.ภาวรรณ หมอกยา อาจารย์คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ ผู้แทนกลุ่มฯ อีกท่าน เผยว่า ความคิดพื้นฐานในการทำงานของ SOS คือเราจะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคนใดคนหนึ่งไม่ได้ คนทั้งสังคมต้องช่วยกัน ใครช่วยตรงไหนได้ต้องช่วยตรงนั้น โดยกลุ่มได้รับการอนุญาตอย่างเป็นทางการในการเข้ามาดูปัญหาสัตว์จรจัดในจุฬาฯ เพื่อให้ทั้งคนที่รักและไม่รักสัตว์สบายใจ โดยตั้งชื่อว่า “จุฬาฯ โมเดล” และได้มีการนำไปเสนอเป็นแนวทางการจัดการปัญหาสัตว์จรจัดให้หน่วยงาน ชุมชนอื่นๆ มากมาย
“การทำงานเรื่องสัตว์ เราต้องทำงานกับคน คือต้องมีคนไปเผยแพร่ความรู้ ไกล่เกลี่ยเวลามีปัญหา ซึ่งเรื่องสัตว์ทำให้คนมีความขัดแย้งทะเลาะกันมาก การโยนความรับผิดชอบกันไปมา ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ ในการทำงานเราต้องเข้าใจว่าทำไมคนถึงไม่ชอบสัตว์ และเห็นใจเขา หากมีการเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจเรื่องสัตว์ที่ถูกต้องออกไป ความกลัวก็จะลดลง” อ.ภาวรรณ กล่าวทิ้งท้าย
คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ แถลงข่าวเปิดตัวโครงการ “1 ครอบครัว 1 ซอฟต์พาวเวอร์ (OFOS)” เปิดคอร์สออนไลน์และกิจกรรมเสริมทักษะการผลิตภาพยนตร์
จุฬาฯ จัดงาน Chulalongkorn University’s Open House for International Programs 2025 แนะนำหลักสูตรภาษาอังกฤษของจุฬาฯ สู่การเป็นผู้นำทางการศึกษาระดับนานาชาติ
ศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล จุฬาฯ ปัตตานี คว้ารางวัลระดับชาติ โล่ประกาศเกียรติคุณ “ผู้มีคุณูปการต่อเยาวชนมุสลิมดีเด่นแห่งชาติ” สาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ศ.ดร.นพ.นรินทร์ หิรัญสุทธิกุล อดีตรองอธิการบดีจุฬาฯ ได้รับรางวัลบุคคลดีเด่น ประเภทบริหาร ด้านการส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อม ประจำปี 2567 จากกระทรวงสาธารณสุข
จุฬาฯ เปิดโครงการอบรมครู “พิพิธภารัต 2567” และพิธีลงนาม MOU ส่งเสริมการสอนภาษาฮินดี
เชิญชวนนิสิตร่วมโครงการประเมินผลการเรียนการสอนออนไลน์ผ่านระบบ myCourseVille ปีการศึกษา 2567
จุฬาฯ เป็นที่ที่เราได้มาพบตัวเองจริงๆ และเป็นช่วงเวลาที่สนุกที่สุด คุณรสสุคนธ์ กองเกตุ (ครูเงาะ) นิสิตเก่า คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
จุฬาฯ เป็นที่ที่เราได้มาพบตัวเองจริงๆ และเป็นช่วงเวลาที่สนุกที่สุด
คุณรสสุคนธ์ กองเกตุ (ครูเงาะ) นิสิตเก่า คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีให้กับท่าน และเพื่อพัฒนาคุณภาพการให้บริการเว็บไซต์ที่ตรงต่อความต้องการของท่านมากยิ่งขึ้น ท่านสามารถทราบรายละเอียดเกี่ยวกับคุกกี้ได้ที่ นโยบายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และท่านสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า
ท่านสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น
ประเภทของคุกกี้ที่มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้ท่านสามารถใช้เว็บไซต์ได้อย่างเป็นปกติ ท่านไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลพฤติกรรมการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน โดยมีจุดประสงค์คือนำข้อมูลมาวิเคราะห์เพื่อปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ให้มีคุณภาพ และสร้างประสบการณ์ที่ดีกับผู้ใช้งาน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด หากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราอาจไม่สามารถวัดผลเพื่อการปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ให้ดีขึ้นได้ รายละเอียดคุกกี้