รู้จักจุฬาฯ
การบริหาร
อัตลักษณ์มหาวิทยาลัย
Green University
Sustainability
ติดต่อจุฬาฯ
บริจาคให้จุฬาฯ
หลักสูตร
การสมัครเข้าศึกษา
หน่วยงานการศึกษา
บริการนิสิต
บริการวิชาการ
บริการทางการแพทย์
บริการตรวจวิเคราะห์คุณภาพ
สารสนเทศและการสื่อสาร
พื้นที่สร้างสรรค์
ข่าวสารและความเคลื่อนไหว
วารสารจุฬาฯ
สาระความรู้
ข่าวสารจุฬาฯ
26 สิงหาคม 2568
ข่าวเด่น
ผู้เขียน คณาจารย์ศศินทร์ จุฬาฯ
ในโลกของการซื้อขายหุ้นที่ราคาซื้อขายเปลี่ยนแปลงวินาทีต่อวินาที “เวลา” คือ สิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อกลยุทธ์ในการซื้อขาย และจังหวะในการทำกำไรจากการซื้อขายหุ้น ดังนั้น ตลาดหุ้นในหลายประเทศมักจะเปิดทำการแบบต่อเนื่องตลอดทั้งวันทำการ อย่างไรก็ตาม ยังมีตลาดหุ้นในบางประเทศที่มีการหยุดพักกลางวัน โดยเฉพาะประเทศในแถบเอเชีย อาทิเช่น ตลาดหุ้นโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น หยุดพักเที่ยง ระหว่าง เวลา 1130 ถึง 12:30น. ตลาดหุ้นฮ่องกง ประเทศจีน หยุดพักเที่ยง ระหว่าง เวลา 1200 ถึง 1300 น. เป็นต้น ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ก็เป็นอีกหนึ่งตลาดที่มีการหยุดพักกลางวัน ยาวถึง 2 ชั่วโมงเลยทีเดียว โดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมีการแบ่งช่วงเวลาของการซื้อขายหุ้นออกเป็น 2 ช่วง อันได้แก่ ช่วงเช้าและบ่าย และ หยุดพักกลางวัน ระหว่างเวลา 12:30 จนถึง 14:30 น. ต่อมาภายหลัง ตั้งแต่วันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2567 ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้มีการปรับลดระยะเวลาของการหยุดพักกลางวันลงเหลือเพียง 1ชั่วโมง 30 นาที คือ ตั้งแต่12:30 จนถึง 14:00 น. การหยุดพักกลางวัน มีความแตกต่าง จากการหยุดทำการซื้อขายแบบชั่วคราว อาทิเช่น Circuit Breaker, Trading Halts และ Trading Suspension เป็นต้น เนื่องจากการหยุดทำการซื้อขายแบบชั่วคราวเหล่านี้เป็นเครื่องมือในการลดผลกระทบต่อความผันผวนอย่างรุนแรงในตลาด
คำถามสำคัญที่ตามมาคือ: ประโยชน์ของการหยุดพักกลางวันทุกวันทำการนั้น คือ อะไร และ ด้วยเหตุใดตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจึงออกแบบให้มีการหยุดพักกลางวัน การแบ่งเวลาซื้อขายออกเป็น 2 ช่วง (ช่วงเช้า และ บ่าย) ส่งผลต่อประสิทธิภาพของตลาดมากน้อยเพียงใด โดยเฉพาะ “การค้นหาราคา” (Price Discovery) ซึ่งเป็นหน้าที่พื้นฐานของตลาดทุนในการสะท้อนข้อมูลใหม่เข้าสู่ราคาอย่างรวดเร็วและถูกต้อง บทความนี้จะมาหาคำตอบให้กับคำถามนี้อย่างเป็นระบบ ด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลโครงสร้างจุลภาค Market Microstructure ของตลาดหุ้นไทยระหว่างปี 2018–2021 โดยเฉพาะอย่างยิ่งการวิเคราะห์เชิงโครงสร้างเกี่ยวกับกลไกการซื้อขายด้วยการจับคู่ครั้งเดียว Call Auction ทั้งช่วงเช้าและบ่าย ก่อนที่จะมาตามหาคำตอบนี้ เราต้องมาทำความเข้าใจกับกลไกในการสุ่มเวลาเปิดทำการของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเสียก่อน
รู้ไหมว่าเวลาเปิดตลาดทั้งในช่วงเช้าและบ่ายไม่ได้กำหนดไว้ตายตัว
กลไกการสุ่มเวลาเปิด นักลงทุนหน้าใหม่อาจจะไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้วตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ไม่ได้เปิดตลาดในรอบเช้าที่ 10:00 น. และภาคบ่ายที่เวลา 14:30 น. หากแต่ใช้วิธี “สุ่มเวลา” หรือ Random End โดยระบบจะสุ่มหาช่วงเวลาที่ Call Auction จะสิ้นสุด ซึ่งจะเป็นวินาทีใดก็ได้ ระหว่างเวลา 9:55–10:00 น. สำหรับภาคเช้า และ 14:25–14:30 น. สำหรับภาคบ่าย เพื่อทำการคำนวณหาราคาที่ใช้เปิดการซื้อขายในแต่ละช่วง หลักการนี้มีที่มาจากความพยายามลดการเก็งกำไรในเสี้ยววินาทีสุดท้าย ก่อนปิดการประมูลราคาเปิดตลาด ซึ่งหากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยกำหนดเวลาสิ้นสุดของ Call Auction แบบตายตัว นักลงทุนบางรายอาจรอจนถึงวินาทีสุดท้ายเพื่อส่งคำสั่งขนาดใหญ่ เพื่อหวังให้ราคาขยับไปในทิศทางที่ตนต้องการ ส่งผลให้ราคาที่ได้ไม่เป็นธรรม และ ไม่สะท้อนมุมมองโดยรวมของตลาดอย่างแท้จริง ด้วยการสุ่มเวลาเปิด นักลงทุนทุกฝ่ายจึงต้องส่งคำสั่งล่วงหน้าในช่วงเวลาที่ไม่รู้แน่ชัดว่าการประมูลจะปิดเมื่อใด วิธีนี้ช่วยกระจายความเสี่ยง ลดการได้เปรียบของผู้ที่มีระบบซื้อขายความเร็วสูง high-frequency trading และเปิดโอกาสให้ราคาสะท้อนมุมมองของนักลงทุนกลุ่มได้กว้างขวางมากขึ้น
ภาพที่ 1 แสดงการกระจายตัวของเวลาจับคู่คำสั่งซื้อขายแบบสุ่มภายในช่วงเวลาประมูลราคาในรูปเปอร์เซ็นต์ระหว่างเวลา 9:55–10:00 น. สำหรับภาคเช้า และ 14:25–14:30 น. สำหรับภาคบ่าย และ แสดงให้เห็นว่าการสุ่มเวลาสิ้นสุดทั้งภาคเช้าและภาคบ่ายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมีการกระจายตัวสม่ำเสมอ ไม่มีความเอนเอียงไปทางใดทางหนึ่ง จึงบ่งชี้ได้ว่ากลไกการสุ่มเวลาเปิดนี้ทำงานตามวัตถุประสงค์ และไม่น่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้บทบาทของ Call Auction ในภาคเช้าและภาคบ่ายมีความแตกต่างกัน
แหล่งข้อมูล ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
เช้า VS บ่าย: เมื่อ Call Auction เหมือนกัน แต่ทำไมผลไม่เหมือนกัน
ภาพที่ 2 แสดง ค่าดัชนี Weighted Price Contribution (WPC) ซึ่งวัดว่าแต่ละช่วงเวลาซื้อขายของวันมีผลต่อราคาสุดท้ายของวันมากน้อยเพียงใด โดย วันทำการซื้อขายแบ่งออกเป็น 6 ช่วงย่อย ดังนี้ 1. ช่วงประมูลเปิดตลาดรอบเช้า (9:30–เวลาสุ่มเปิดจริง T1) หรือ Morning Call 2. ช่วงซื้อขายต่อเนื่องตอนเช้าช่วงต้น (AM1: T1–12:00) 3. ช่วงซื้อขายต่อเนื่องตอนเช้าช่วงปลาย (AM2: 12:00–12:30) 4. ช่วงประมูลเปิดตลาดรอบบ่าย (14:00–เวลาสุ่มเปิดจริง T2) Afternoon Call 5. ช่วงซื้อขายต่อเนื่องตอนบ่ายช่วงต้น (PM1: T2–15:00) และ 6.ช่วงซื้อขายต่อเนื่องตอนบ่ายช่วงปลาย (PM2: 15:00–16:30) จากภาพที่ 2 พบว่า ช่วงประมูลเปิดตลาดตอนเช้า มีค่าดัชนี WPC เฉลี่ย 14.8% ในขณะที่ ช่วงประมูลเปิดตลาดตอนบ่าย ค่าดัชนี WPC เฉลี่ยอยู่ที่เพียง 3.04% นอกจากนี้ ภาพที่ 2 ยังแสดงให้เห็นว่า ค่าดัชนี WPC ในช่วงเช้าเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตามลำดับเวลา โดยมีค่าลดลงในช่วงที่ 3 ของวัน ซึ่งเป็นช่วงซื้อขายต่อเนื่องปลายเช้า และ ค่าดัชนี WPC ในช่วงบ่าย อยู่ในระดับคงที่และต่ำกว่าช่วงเช้ามาก หลักฐานเชิงประจักษ์นี้แสดงให้เห็นถึงความเฉื่อยชาในการสะท้อนข้อมูลเข้าสู่ราคาในช่วงประมูลเปิดตลาดตอนบ่าย (14:00–เวลาสุ่มเปิดจริง T2) Afternoon Call
แม้ว่าตลาดหุ้นไทยจะใช้ระบบ Call Auction เพื่อกำหนดราคาเปิดของทั้งภาคเช้าและภาคบ่ายของวันทำการแต่ละวัน เหมือนๆ กัน แต่กลับพบว่า Call Auction ตอนเช้ามีบทบาทสำคัญมากกว่าตอนบ่ายอย่างชัดเจนในการค้นหาราคา และยิ่งชัดขึ้นในวันที่มี การประกาศผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน
ทำไมภาคบ่ายจึงเงียบ?
ภาพที่ 3 สะท้อนรูปแบบที่ชัดเจนของปริมาณคำสั่งซื้อขายในช่วงเช้า คำสั่งเริ่มหลั่งไหลเข้ามาจำนวนมากตั้งแต่ห้านาทีแรกของ Call Auction และกลับมาคึกคักอีกครั้งเมื่อเปิดตลาดในเวลาปกติราว 10.00 น. ตรงกันข้าม ในช่วงบ่าย ปริมาณคำสั่งใน Call Auction กลับต่ำกว่าช่วงเช้าอย่างชัดเจน และเมื่อเข้าสู่การซื้อขายปกติ ปริมาณคำสั่งก็เคลื่อนไหวค่อนข้างสม่ำเสมอ ไม่มีจังหวะเร่งตัวเหมือนภาคเช้า ภาพที่ 3 นี้แสดงให้เห็นว่า กลไกของ Call Auction เองไม่ได้มีปัญหาในทางเทคนิค เพราะระบบการจับคู่คำสั่งซื้อขายใช้แบบเดียวกันทั้งเช้าและบ่าย สิ่งที่แตกต่างคือ “บริบทของข้อมูล” และ “พฤติกรรมของนักลงทุน”
ในช่วงเช้า Call Auction มีโอกาสได้รับข้อมูลใหม่จำนวนมาก ทั้งข่าวสารจากต่างประเทศที่เกิดขึ้นข้ามคืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งตลาดหุ้นในสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในโลก แรงกดดันจากตลาดต่างประเทศที่เปิดก่อนตลาดไทย อาทิเช่น ตลาดหุ้นในประเทศ ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น และจีน เป็นต้น รวมถึง ข่าวการประกาศของบริษัทจดทะเบียนในไทยเอง ในขณะที่ช่วงบ่าย แม้จะตามหลังช่วงพักที่อาจมีข่าวสารบ้าง แต่ปริมาณและความเร่งด่วนของข้อมูลกลับน้อยกว่า ทำให้นักลงทุนไม่มีแรงจูงใจมากพอที่จะส่งคำสั่งแบบ “เปิดเผยมุมมอง” ใน Call Auction ภาคบ่าย
นอกจากนี้ การทดสอบ “Price Efficiency” หรือความสามารถในการสะท้อนข้อมูลของราคาก็พบภาพที่คล้ายคลึงกัน ราคาที่ประเมินระหว่าง Call Auction ตอนเช้ามีแนวโน้มเข้าใกล้ราคาปิดของวันมากขึ้นเรื่อย ๆ ขณะที่ราคาช่วงบ่ายไม่มีพัฒนาการดังกล่าว แถมยัง “เกินจริง” ในบางครั้ง ซึ่งอาจสะท้อนพฤติกรรมแบบ “overreaction” หรือ noise
แหล่งข้อมูล ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย แกน x ในกราฟแสดงเวลาโดยอิงจากช่วงประมูลราคา (call auction) ซึ่งแบ่งเป็นช่วงละ 5 นาที (ใช้สัญลักษณ์ m แทนแต่ละช่วงเวลา) โดยช่วงเช้าครอบคลุมเวลา 9:30 ถึง 12:30 (m = −5 ถึง 30) และช่วงบ่ายครอบคลุมเวลา 14:00 ถึง 16:30 (m = −5 ถึง 24)
ความผันผวน: อีกมิติที่บอกเรื่องราว
ข้อมูลบ่งชี้ว่า สาเหตุหนึ่งมาจากความแตกต่างด้าน “ปริมาณข้อมูลใหม่” ที่เข้าสู่ตลาด Call Auction ซึ่งในตอนเช้ามีโอกาสสะท้อนข่าวสารจากทั้งคืน ทั้งจากต่างประเทศและการประกาศข่าวของบริษัท ทำให้ Call Auction มีการสะท้อนข้อมูลผ่านกลไกดังกล่าวมากกว่า แต่ในตอนบ่าย ซึ่งมีช่วงพักเพียง 2 ชั่วโมง และปริมาณข่าวสารใหม่มีจำกัด นักลงทุนอาจเลือกไม่เปิดเผยข้อมูลของตนผ่านการส่งคำสั่งในช่วง Call Auction
นอกจากบทบาทของ Call Auction ในการค้นหาราคาแล้ว การวิเคราะห์ความผันผวนของราคาหลังการเปิดตลาดในแต่ละช่วง โดยใช้ตัวชี้วัดที่เรียกว่า ความผันผวนที่เกิดขึ้นจริง Realized Volatility (RV) ซึ่งคำนวณจากความเคลื่อนไหวของราคาหุ้นในช่วงเวลาสั้น ๆ ภายหลังจากการประมูลเปิด จะทำให้เห็นว่าตลาดตอบสนองต่อข้อมูลใหม่ได้มากน้อยเพียงใด
ภาพที่ 4 แสดงการเปรียบเทียบความผันผวนระหว่าง “วันที่มีข่าวสารสำคัญ” เช่น การประกาศผลประกอบการ กับ “วันที่ไม่มีข่าวสารสำคัญ” โดยแยกเป็นภาคเช้าและภาคบ่าย ผลลัพธ์ชี้ชัดว่า ไม่ว่าจะเป็นวันที่มีข่าวหรือไม่มีข่าว ความผันผวนในภาคเช้าย่อมสูงกว่าภาคบ่ายเสมอ โดยเฉลี่ย RV ใน 30 นาทีหลัง Call Auction ภาคเช้าอยู่ที่ 6.56% ขณะที่ภาคบ่ายอยู่เพียง 5.04% เมื่อพิจารณาเฉพาะ แต่ในวันที่มีข่าวสาร ความผันผวนเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน โดยภาคเช้ามีค่า RV สูงถึง 16.28% ขณะที่ภาคบ่ายแม้จะสูงขึ้นจากวันปกติ แต่ก็ยังต่ำกว่าภาคเช้าอย่างมีนัยสำคัญ ความแตกต่างนี้สะท้อนว่า ปริมาณและความสำคัญของข้อมูลที่เข้าสู่ตลาดในช่วงพักกลางวันมีจำกัด ไม่เพียงพอที่จะสร้างแรงขับเคลื่อนราคาได้เท่ากับข้อมูลจำนวนมากที่หลั่งไหลเข้ามาในช่วงเช้า
แหล่งข้อมูล ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย แกน X คือ ช่วงเวลา 1, 2, 3, 4, 5 และ 30 นาทีแรกหลังจากการประมูลเปิดตลาด (RV_1, RV_2, RV_3, RV_4, RV_5, RV_30) แกน Y คือค่าเฉลี่ยของความผันผวนที่เกิดขึ้นจริง
นอกจากนี้ ความผันผวนยังสามารถใช้เป็น “ตัวบอกความลึก” ของการค้นหาราคาได้ในทางอ้อมเพราะตลาดที่มีประสิทธิภาพมักจะปรับตัวแรงทันทีจึงมีความผันผวนสูงเมื่อมีข้อมูลสำคัญเข้ามา จากนั้นความผันผวนจะค่อย ๆ ลดลงเมื่อราคาสะท้อนข้อมูลครบถ้วนแล้ว การที่ช่วงบ่ายมีความผันผวนต่ำจึงอาจบอกเป็นนัยว่ากระบวนการค้นหาราคาในช่วงบ่ายนั้นไม่เข้มข้นเท่าช่วงเช้า
กล่าวอีกมุมหนึ่ง ข้อมูลจากภาพที่ 4 ตอกย้ำให้เห็นว่า กลไกของ Call Auction มีประสิทธิภาพดีและไม่ได้เป็นสาเหตุที่ การค้นหาราคา หรือ Price Discovery ในช่วงเช้าแตกต่างจากช่วงบ่าย หากแต่ความแตกต่างในการค้นหาราคา หรือ Price Discovery นี้ เกิดมาจากความแตกต่างด้าน “สภาพแวดล้อมของข้อมูล” ระหว่างเช้าและบ่าย ซึ่งส่งผลต่อระดับกิจกรรมของนักลงทุนและคุณภาพของการค้นหาราคาในที่สุด
ใครเล่นบทไหนในตลาด?
เมื่อวิเคราะห์เชิงลึกถึงบทบาทของนักลงทุนแต่ละประเภทใน Call Auction ภาคเช้าและภาคบ่าย พบว่า นักลงทุนแต่ละประเภทเล่นบทบาทที่แตกต่างกันไป สำหรับนักลงทุนรายย่อย (Retail Investors) มักจะ เป็นกลุ่มนักลงทุนที่ส่งคำสั่งซื้อขายเป็นจำนวนมากที่สุดแต่สัดส่วนคำสั่งที่เกิดการซื้อขายขึ้นได้จริงค่อนข้างต่ำ โดยเฉพาะในช่วงเช้า มีปริมาณคำสั่งที่เข้ามามากในช่วง Call Auction แรกของวันสะท้อนความตื่นตัวต่อข้อมูลใหม่ที่เพิ่งเข้าสู่ตลาด เช่น ข่าวจากต่างประเทศหรือการประกาศผลประกอบการบริษัท ปริมาณคำสั่งซื้อขายจำนวนสูงที่สุดแต่สัดส่วนคำสั่งที่เกิดการซื้อขายขึ้นได้จริงค่อนข้างต่ำ เป็นลักษณะของการซื้อขายแบบโดยไม่อิงข้อมูลพื้นฐาน ไม่มีหลักการ noise trading
ในขณะที่นักลงทุนสถาบัน (Institutional Investors) มักจะเป็นกลุ่มที่ส่งคำสั่งน้อยกว่านักลงทุนรายย่อย แต่พฤติกรรมของนักลงทุนสถาบันมีความสม่ำเสมอมากกว่านักลงทุนรายย่อย และ มักมีบทบาทช่วยลดความผันผวนของราคาในช่วงเช้า ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดว่านักลงทุนกลุ่มนี้มีข้อมูลและการวิเคราะห์เชิงลึกมากกว่า อย่างไรก็ดี การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกพบว่า ในช่วงบ่ายนักลงทุนสถาบันกลับมีส่วนทำให้ความผันผวนเพิ่มขึ้นเล็กน้อย สะท้อนให้เห็นว่า นักลงทุนสถาบันอาจเข้ามาเก็บของ หรือ เข้าซื้อขายในช่วงที่สภาพคล่องเบาบางลง เพื่อปรับพอร์ตหรือหาจังหวะทำกำไรระยะสั้น
กลุ่มสุดท้าย คือ นักลงทุนต่างชาติ (Foreign Investors) กลุ่มนี้มีลักษณะการส่งคำสั่งที่ซับซ้อนและระมัดระวังมากกว่านักลงทุนประเภทอื่น อัตราการยกเลิกคำสั่งก็สูงกว่ากลุ่มอื่นอีกด้วย โดยเฉพาะในปี 2021 ที่สูงถึงกว่า 20% สะท้อนถึงลักษณะการตัดสินใจที่อาจจะส่งคำสั่งซื้อขายที่พร้อมจะยกเลิกทันที นอกจากนี้ ในช่วงบ่ายนักลงทุนต่างชาติมีบทบาทต่อการเคลื่อนไหวของราคาน้อยกว่าช่วงเช้าอย่างชัดเจน ซึ่งอาจเป็นเพราะข้อมูลใหม่ในช่วงบ่ายมีความสำคัญน้อยเมื่อเทียบกับข้อมูลจากข้ามคืนและตลาดต่างประเทศ
บทสรุป
การออกแบบโครงสร้างตลาดไม่ใช่เพียงเรื่องของเทคโนโลยีหรือความสะดวกในการบริหารจัดการ หากแต่เป็นการกำหนดกติกาที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของนักลงทุนและประสิทธิภาพของตลาดในภาพรวม บทความนี้สะท้อนให้เห็นว่า แม้การแบ่งเวลาซื้อขายออกเป็นสองช่วงจะเหมาะสมในมุมของผู้ปฏิบัติ แต่ในทางพฤติกรรมของตลาด กลไกการกำหนดราคาเปิดในช่วงบ่ายอาจเป็นจุดอ่อนต่อกระบวนการค้นหาราคาโดยไม่ได้ตั้งใจ ท้ายที่สุดแล้ว การพัฒนาตลาดทุนให้มีความโปร่งใส มีประสิทธิภาพ และเท่าทันต่อพลวัตของข้อมูล ไม่ได้ขึ้นอยู่กับนวัตกรรมเพียงลำพัง หากแต่อยู่ที่ความเข้าใจใน “พฤติกรรม” และ “โครงสร้าง” ที่หล่อหลอมมันขึ้นมา หากเรามุ่งหวังให้ตลาดทุนไทยสามารถปรับตัวต่อข้อมูลใหม่ได้อย่างทันท่วงที การศึกษาวิจัยเชิงโครงสร้างของกลไกช่วงเปิดตลาดภาคบ่ายจึงเป็นประเด็นสำคัญที่ควรได้รับการสนับสนุนอย่างจริงจัง
หมายเหตุ:
1. ข้อมูลที่ใช้ในการเขียนบทความนี้เป็นข้อมูลก่อนวันที่ 25 มีนาคม 2567 ซึ่งเป็นวันที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยปรับเวลาเปิดตลาดภาคบ่ายจาก 14:30 น. เป็น 14:00 น
2. บทความนี้ได้รับทุนอุดหนุนการวิจัยและนวัตกรรมจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ ทุนเลขที่ N42A680640
อ้างอิง
Likitapiwat, T., Huang, C. C., Treepongkaruna, S., Jiang, C. X., 2025, “To Break or Not to Break: Price Discovery in Morning and Afternoon Call Auctions,” Pacific Basin Finance Journal, 93, 102867 https://doi.org/10.1016/j.pacfin.2025.102867
บทความนี้เขียนโดย
ศาสตราจารย์กิตติคุณแห่งมหาวิทยาลัยเวิสเทิรน์ออสเตรเลีย ดร.ศิริมล ตรีพงษ์กรุณา หัวหน้าหน่วยปฏิบัติการวิจัยการพัฒนาตลาดเงินและตลาดทุนอย่างยั่งยืน สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจ ศศินทร์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ศาสตราจารย์กิตติคุณและนักวิจัยอาวุโสกิตติมศักดิ์ (Emeritus Professor & Senior Honorary Research Fellow) สาขาการเงิน ภาควิชาบัญชีและการเงินแห่งมหาวิทยาลัยเวสเทิรน์ออสเตรเลีย UWA Business School ประเทศออสเตรเลีย
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ธนากร ลิขิตาภิวัฒน์ นักวิจัยประจำหน่วยปฏิบัติการวิจัยการพัฒนาตลาดเงินและตลาดทุนอย่างยั่งยืน สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจ ศศินทร์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ อาจารย์ประจำ ภาควิชาการเงิน คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ศศินทร์มอบรางวัลอาจารย์ผู้สอนดีเลิศ ประจำปี 2568 และมอบรางวัลแก่นิสิตดีเด่น
จุฬาฯ – สยามพิวรรธน์ และพันธมิตร ประกาศความสำเร็จหลักสูตร“WORLD CLASS DESTINATION DEVELOPMENT”ต้นแบบการเรียนรู้ ยกระดับบุคลากรไทยสู่มาตรฐานสากล
นิสิตปริญญาเอก CU TIP พัฒนา “หนังสังเคราะห์จากกากกาแฟ”คว้าเหรียญเงินนวัตกรรมนานาชาติเจนีวา ลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
เชิญชวนคณาจารย์จุฬาฯ รับสมัครหรือเสนอชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งซ่อม สมาชิกสภาคณาจารย์ จุฬาฯ พ.ศ. 2568 แทนตำแหน่งที่ว่าง
20 ตุลาคม 2568 เวลา 08.00 น. – 24 ตุลาคม 2568 เวลา 17.00 น.
จุฬาฯ เปิดรับสมัคร “นักข่าวพันธมิตร” จากทั่วโลกร่วม Chula Media Fellowship Program 2026 พร้อมรับทุนสนับสนุน
ศูนย์เครือข่ายการเรียนรู้เพื่อภูมิภาค จุฬาฯ ส่งเสริมเกษตรกรเลี้ยงกบนา ผลลัพธ์เกินคาดได้กบน้ำหนัก 8 ขีดใน 4 เดือน สร้างรายได้ยั่งยืนให้ชุมชน
จุฬาฯ สนับสนุนให้อาจารย์ทำงานวิจัย นับว่าเป็นสิ่งที่ดีมากต่อทั้งอาจารย์ นิสิต รวมถึงภาคประชาสังคม รองศาสตราจารย์ ดร.สุชนา ชวนิชย์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
จุฬาฯ สนับสนุนให้อาจารย์ทำงานวิจัย นับว่าเป็นสิ่งที่ดีมากต่อทั้งอาจารย์ นิสิต รวมถึงภาคประชาสังคม
รองศาสตราจารย์ ดร.สุชนา ชวนิชย์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีให้กับท่าน และเพื่อพัฒนาคุณภาพการให้บริการเว็บไซต์ที่ตรงต่อความต้องการของท่านมากยิ่งขึ้น ท่านสามารถทราบรายละเอียดเกี่ยวกับคุกกี้ได้ที่ นโยบายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และท่านสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า
ท่านสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น
ประเภทของคุกกี้ที่มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้ท่านสามารถใช้เว็บไซต์ได้อย่างเป็นปกติ ท่านไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลพฤติกรรมการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน โดยมีจุดประสงค์คือนำข้อมูลมาวิเคราะห์เพื่อปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ให้มีคุณภาพ และสร้างประสบการณ์ที่ดีกับผู้ใช้งาน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด หากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราอาจไม่สามารถวัดผลเพื่อการปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ให้ดีขึ้นได้ รายละเอียดคุกกี้