รู้จักจุฬาฯ
การบริหาร
อัตลักษณ์มหาวิทยาลัย
Green University
Sustainability
ติดต่อจุฬาฯ
บริจาคให้จุฬาฯ
หลักสูตร
การสมัครเข้าศึกษา
หน่วยงานการศึกษา
บริการนิสิต
บริการวิชาการ
บริการทางการแพทย์
บริการตรวจวิเคราะห์คุณภาพ
สารสนเทศและการสื่อสาร
พื้นที่สร้างสรรค์
ข่าวสารและความเคลื่อนไหว
วารสารจุฬาฯ
สาระความรู้
ข่าวสารจุฬาฯ
16 กันยายน 2568
ข่าวเด่น
ผู้เขียน คณาจารย์สถาบันบันฑิตบริหารธุรกิจ ศศินทร์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
หลายคนทราบดีถึงวิกฤตประชากรไทย ประเทศไทยมี “การตายมากกว่าเกิด” ประชากรไทยมีแนวโน้มที่จะลดลงไปเรื่อย ๆ ซึ่งในอนาคต 50 ปีข้างหน้าโดยประมาณ ประชากรไทยจะลดลงไปครึ่งหนึ่ง จาก 60 กว่าล้านคน เหลือเพียง 30 กว่าล้านคน ประเทศจะเต็มไปด้วยผู้สูงวัย คนวัยแรงงานจะหายาก คนวัยเด็ก คนวัยหนุ่มสาว ก็จะลดลงและเหลือน้อยลงเป็นอย่างมาก ทั้งหมดนี้เกิดจากการที่คนไทย มีลูกน้อยลง
แน่นอนว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ และเป็นเรื่องที่หลายภาคส่วน พยายามหาทางออกที่ดีที่สุดให้ประเทศ ในบทความชื่อ “แผนยุทธศาสตร์ชาติฉบับบูรณาการ: พลิกวิกฤตประชากรไทย สู่โอกาสแห่งอนาคต” ที่คณะผู้เขียนได้จัดทำขึ้นและแผยแพร่ในหลายสื่อสิ่งพิมพ์ ก็ได้วางกรอบการรับมือเชิงมหภาคไว้ อย่างไรก็ดี ในบทความนี้คณะผู้เขียนอยากลองชวนทุกคนมา “ลองคิด” แบบ Reluctant Economist ของศาสตราจารย์ Richard A. Easterlin ซึ่งเป็นแนวคิดที่ยังไม่ค่อยเห็น (หรือไม่เคยเห็นเลยก็อาจเป็นได้) โดยนำมาประยุกต์ใช้ในการมองวิกฤตประชากรไทย ว่าจะสามารถทำให้เราเข้าใจ “root cause” หรือสาเหตุที่แท้จริงของวิกฤตประชากรไทยได้หรือไม่ และจะช่วยให้เราหาทางออกที่ดีขึ้นได้ไหม
ศาสตราจารย์ Richard A. Easterlin เป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่มีชื่อเสียงจากมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย (University of Pennsylvania) ซึ่งหนึ่งในคณะผู้เขียนได้มีโอกาสเป็นลูกศิษย์ของท่าน ท่านได้นำเสนอแนวคิดที่โดดเด่นในวงการเศรษฐศาสตร์หลายแนวคิด เช่น The Easterlin paradox และ The Easterlin hypothesis สำหรับแนวคิด Reluctant Economist ที่ท่านได้ตีพิมพ์ลงในหนังสือที่มีชื่อเดียวกัน ประเด็นหลักของหนังสือเล่มนี้คือ การลองคิด “นอกกรอบ” โดยเฉพาะกรอบ ที่นักคิดในยุคนั้น ๆ ใช้คิด ซึ่งบางครั้งการคิดอยู่ในกรอบเดิม ๆ ก็อาจจะจำกัดความคิดของเราในการเข้าใจปัญหาและการหาทางออก และสิ่งที่ทำให้การคิดนอกกรอบเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเป็นเพราะ เมื่อคนเราคิดนอกกรอบ “คนในกรอบก็จะไม่ชอบ ไม่พอใจ และไม่เข้าใจ”
สำหรับวิกฤตประชากรที่เกิดขึ้นจากการที่คนในประเทศมีลูกน้อยลง แนวคิด Reluctant Economist จะชวนให้เราคิดว่า สาเหตุหลักที่ทำให้คนในประเทศ “เลือก” ที่จะมีลูกน้อยลง เป็นเพราะคนเรายังไม่ “รู้สึก” ว่าตัวเองประสบความสำเร็จเพียงพอที่จะมีลูก แนวคิดนี้อ้างอิง “ทฤษฎีรายได้สัมพัทธ์ (Relative Income Hypothesis)” ซึ่งเชื่อว่า การตัดสินใจมีลูกของคนหนุ่มสาว ไม่ได้ดูจาก “รายได้จริง (Absolute Income)” ว่าตอนนี้มีเงินมากพอหรือไม่ แต่เกิดจากการเปรียบเทียบระหว่าง “มาตรฐานการใช้ชีวิตตอนนี้” กับ “มาตรฐานการใช้ชีวิตที่คาดหวัง” ซึ่งคนหนุ่มสาวเหล่านี้ล้วนได้รับอิทธิพลมาจากครอบครัว สิ่งแวดล้อม สื่อสังคมต่าง ๆ และรูปแบบการใช้ชีวิตที่เติบโตมาจากรุ่นพ่อรุ่นแม่
ดังนั้นหากคนรุ่นใหม่ “รู้สึก” ว่าตัวเอง ยังไม่ประสบความสำเร็จเพียงพอตาม “มาตรฐานการใช้ชีวิตที่คาดหวัง” เช่น ยังคิดว่าตอนนี้ยังไม่มีคุณภาพชีวิตที่ดีเท่า หรือดีกว่ารุ่นพ่อแม่ หรือยังคิดว่าต้นทุนการใช้ชีวิตต่าง ๆ มีแต่จะสูงขึ้น ค่าเช่าบ้านก็แพงขึ้น ค่าเทอมจะส่งลูกเรียนที่ดี ๆ ก็มีแต่แพงขึ้น ซึ่งเดียวนี้หลายคนก็ตั้งความหวังว่าต้องส่งลูกเรียนโรงเรียนอินเตอร์ ค่าครองชีพต่าง ๆ ก็จะแพงขึ้นเพราะภาษีนำเข้าส่งออกที่สูงขึ้นจากสงครามทางการค้า นอกจากนี้ ใคร ๆ ก็มีแต่ออกมาพูดว่า AI จะแย่งงานของคนไปหมด แล้วคนจะไปหางานมาจากไหนเพื่อที่จะมีเงินมาเลี้ยงลูกในอนาคต หรือการที่คนเราเห็น “ภาพลวงตา” ในสื่อสังคมต่าง ๆ ว่า ความสำเร็จต้องมีรถสปอร์ตหลายคัน มีบ้านหรู หรือไปเที่ยวที่แพง ซึ่งภาพเหล่านี้ จำนวนไม่น้อย เป็น “ภาพลวงตา” ที่ถูกจัดฉากขึ้นเพื่อการแสดง เพื่อเพิ่มยอดวิว ยอด Follow เท่านั้น ดังนั้นตราบใดที่ความรู้สึกเหล่านี้ ยังเป็นความรู้สึกที่คนหนุ่มสาวรู้สึกจริงๆ คนหนุ่มสาวเหล่านี้ ก็จะเลือกชะลอการมีลูก หรือ ตัดสินใจไม่มีลูกไปเลยน่าจะง่ายกว่า
แน่นอนว่าการรับมือกับวิกฤตประชากรไทย ไม่สามารถจะเน้นหรือพึ่งการเพิ่มประชากรเพียงอย่างเดียว เพราะจะไม่ทันการ และการเพิ่มประชากรไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้นต้องอาศัยมาตรการอื่นที่คณะผู้เขียนได้เคยเขียนไว้ในบทความชื่อ “แผนยุทธศาสตร์ชาติฉบับบูรณาการ: พลิกวิกฤตประชากรไทย สู่โอกาสแห่งอนาคต” ที่กล่าวถึงแนวทางอื่น ๆ เช่น การผลักดันไทยสู่การเป็นผู้นำเศรษฐกิจสูงวัย (Silver Economy) การพัฒนาไทยให้เป็นศูนย์กลางหรือเป็นแม่เหล็กดึงดูดผู้มีความสามารถระดับโลก (Talent Magnet) รวมถึงการเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมเพราะคนวัยแรงงานมีเหลือน้อยลงเรื่อย ๆ
แต่จะไม่ให้ความสำคัญกับการการเพิ่มประชากรเลยก็ไม่ได้ เพราะหากไม่ทำอะไรเลยในประเด็นนี้ ปัญหานี้จะกลายเป็นปัญหาระดับชาติในระยะยาว การที่ประเทศไทยในอนาคต 50 ปีข้างหน้าโดยประมาณจะมีประชากรเพียงครึ่งหนึ่งของตอนนี้ เป็นการเปลี่ยนเชิงโครงสร้างที่รุนแรงมาก และเป็นสิ่งที่คนไทยทั้งประเทศ ไม่น่าจะต้องการให้เป็นแบบนั้น เพราะจะส่งผลมากมายต่อ โครงสร้างทางสังคมและเศรษฐกิจที่ตั้งใจสร้างขึ้นเพื่อรองรับคน 60 ล้านคน ความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ความสามารถในการเจรจาต่อรองระหว่างประเทศ หรือแม้แต่ความมั่นคงทางทหารของประเทศเรา
ถ้าเราใช้มุมมองของ Reluctant Economist ก็จะพบว่าประเด็นที่สำคัญที่สุดอยู่ที่ “ความคาดหวัง” ต่อมาตรฐานการใช้ชีวิตในอนาคต ซึ่งผู้เขียนเชื่อว่ามาตรการต่อไปนี้ จะมีส่วนสำคัญในการสร้างสภาวะแวดล้อมที่ทำให้คนรุ่นใหม่รู้สึกมั่นคงและ “มีความหวัง” มากเพียงพอที่จะตัดสินใจมีลูก:
โดยสรุป การแก้ไขวิกฤตประชากรของไทย จำเป็นต้องอาศัยการมองปัญหาอย่างรอบด้านและทะลุถึง “root cause” หรือสาเหตุที่แท้จริงของวิกฤต แผนยุทธศาสตร์ชาติฯ นั้น แม้ว่าจะเป็นสิ่งที่สำคัญ แต่ก็กำลังจัดการกับ “อาการป่วย” ของสังคมเท่านั้น ในขณะที่แนวคิด Reluctant Economist ทฤษฎีของศาสตราจารย์ Richard A. Easterlin กำลังชี้ให้เห็น “สาเหตุของโรค” ที่แท้จริง หรือ ตัวเชื้อโรคที่ก่อให้เกิดอาการแบบนั้น การพลิกวิกฤตครั้งนี้จึงขึ้นอยู่กับการสร้าง “สังคมที่มอบความมั่นคงและความหวัง” ให้กับคนรุ่นใหม่ เพื่อทำให้การตัดสินใจสร้างครอบครัวเป็นสิ่งที่เป็นไปได้จริง และ เต็มไปด้วยโอกาส
จุฬาฯ ฝ่าพิบัติ จัดกิจกรรม CHULA-DSN: Roblox Studio “สมรภูมิพิทักษ์โลก” ในงาน Sustainability Expo 2025
จุฬาฯ – ACT เปิดตัว “Corruption Watch แชตฟ้องโกง ทันใจ” ครั้งแรกในไทย! แจ้งเบาะแสโกงได้ง่าย ปลอดภัย ไม่เปิดเผยตัวตน
CU Band ชวนร่วมงาน “วันที่ระลึกวันทรงดนตรี” ประทับใจบทเพลงพระราชนิพนธ์ทรงคุณค่าและเพลงจุฬาฯ ในรูปแบบมิวสิคัล
โรงเรียนสาธิตจุฬาฯ เชิญฟังการบรรยายพิเศษทางศิลปะ “MAKING SENSE” โดยศิลปินศิลปาธร สาขาสถาปัตยกรรมไทย
อาจารย์คณะครุศาสตร์ จุฬาฯ ได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติระดับโลกสู่หอเกียรติยศนักการศึกษาผู้ใหญ่และต่อเนื่องนานาชาติ IACEHOF ปี 2025
จุฬาฯ ร่วมงาน “คติชนน่านสัญจร” ความร่วมมือด้านพันธกิจสัมพันธ์เพื่อสังคมระหว่างจุฬาฯ – ม.มหิดล
จุฬาฯ เป็นที่ที่เราได้มาพบตัวเองจริงๆ และเป็นช่วงเวลาที่สนุกที่สุด คุณรสสุคนธ์ กองเกตุ (ครูเงาะ) นิสิตเก่า คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
จุฬาฯ เป็นที่ที่เราได้มาพบตัวเองจริงๆ และเป็นช่วงเวลาที่สนุกที่สุด
คุณรสสุคนธ์ กองเกตุ (ครูเงาะ) นิสิตเก่า คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีให้กับท่าน และเพื่อพัฒนาคุณภาพการให้บริการเว็บไซต์ที่ตรงต่อความต้องการของท่านมากยิ่งขึ้น ท่านสามารถทราบรายละเอียดเกี่ยวกับคุกกี้ได้ที่ นโยบายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และท่านสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า
ท่านสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น
ประเภทของคุกกี้ที่มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้ท่านสามารถใช้เว็บไซต์ได้อย่างเป็นปกติ ท่านไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลพฤติกรรมการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน โดยมีจุดประสงค์คือนำข้อมูลมาวิเคราะห์เพื่อปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ให้มีคุณภาพ และสร้างประสบการณ์ที่ดีกับผู้ใช้งาน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด หากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราอาจไม่สามารถวัดผลเพื่อการปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ให้ดีขึ้นได้ รายละเอียดคุกกี้