อาหารเป็นยา นวัตกรรมเพื่อสุขภาพของคนยุคปัจจุบัน

อาจารย์คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ แนะใช้เทคโนโลยีการผลิตอาหารสร้างผลิตภัณฑ์ “อาหารเป็นยา” จากสมุนไพรไทย ผักและผลไม้ เพื่อส่งเสริมสุขภาพประชาชน ลดความเสี่ยงโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) และยังเป็นการเพิ่มรายได้เข้าประเทศด้วยภูมิปัญญาไทยด้านอาหารและการเกษตร
การกินอาหารเป็นต้นทางของสุขภาพ แต่ทุกวันนี้ ผู้คนจำนวนไม่น้อยกำลัง “กินยาเป็นอาหาร”

หัวหน้าภาควิชาเทคโนโลยีทางอาหาร
คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
“ปัจจุบันประชากรโลกกำลังเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงด้านสุขภาพที่เกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เร่งรีบ การบริโภคอาหารที่ไม่เหมาะสม ขาดการออกกำลังกาย รวมถึงความเครียด ส่งผลให้เกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เพิ่มมากขึ้น เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคไต และโรคมะเร็ง” รองศาสตราจารย์ ดร.กิติพงศ์ อัศตรกุล หัวหน้าภาควิชาเทคโนโลยีทางอาหาร คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยกล่าวโดยอ้างรายงานขององค์การอนามัยโลก (WHO) ปี 2566 ที่เผยว่าประชากรทั่วโลกเสียชีวิตประมาณ 41 ล้านคนจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง โดยคิดเป็น 74% ของประชากรโลกที่เสียชีวิตทั้งหมด


ผู้ที่ป่วยด้วยโรคเหล่านี้มักต้องรับประทานยาในแต่ละมื้อ แต่ละวัน เป็นจำนวนไม่น้อยเลย ซึ่งคงจะดีกว่าและอร่อยกว่าถ้าคนเรากินอาหารให้เป็นยา
“การกินยาเป็นเรื่องที่ควรมาเมื่อเรามีอาการป่วย แต่การกินอาหารเป็นได้ทั้งการบำรุงรักษาสุขภาพ ป้องกันและรักษาโรคได้ แล้วทำไมเราจึงจะไม่กินอาหารให้เป็นยา ในเมื่อเราต้องกินอาหารกันอยู่แล้วทุกวัน” รศ.ดร.กิติพงศ์ตั้งคำถามชวนคิด
“อาหารเพื่อสุขภาพหรืออาหารเป็นยา” จึงเป็นเรื่องที่ทุกภาคส่วนควรให้ความสำคัญ ไม่เพียงเพื่อส่งเสริมสุขภาพประชาชนแต่เพื่อเพิ่มโอกาสทางเศรษฐกิจให้ประเทศด้วย

“ประเทศไทยมีศักยภาพที่จะเป็นผู้นำด้านการตลาดอาหารเพื่อสุขภาพ เรามีภูมิปัญญาด้านอาหาร สมุนไพรและการเกษตร มีงานวิจัยและเทคโนโลยีที่จะช่วยให้กระบวนการผลิตอาหารมีประสิทธิภาพมากขึ้นเพื่อบำรุงสุขภาพและป้องกันโรค นี่เป็นโอกาสของประเทศและผู้ประกอบการไทย” รศ.ดร.กิติพงศ์กล่าว
อาหารเป็นยา ทำเองได้ ง่ายและประหยัด
รศ.ดร.กิติพงศ์ให้ความหมายของ “อาหารเป็นยา” ว่า คืออาหารที่มีส่วนผสมของผัก ผลไม้ และสมุนไพร หรือวัตถุดิบที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพของผู้บริโภค
“ผู้บริโภคปรุงอาหารเป็นยาเองได้ซึ่งจะสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้มาก โดยยึดหลักการบริโภคอาหารที่มีส่วนผสมของผัก ผลไม้ สมุนไพรในปริมาณที่เหมาะสมและเพียงพอ ที่สำคัญอาหารนั้นต้องสะอาด ไม่ปนเปื้อนสารพิษ อาหารเป็นยาเหล่านี้สามารถช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรังได้”
รศ.ดร.กิติพงศ์ยกตัวอย่างอาหารเป็นยา ซึ่งหลายคนอาจจะคุ้นและบริโภคอยู่เป็นประจำ เช่น
กระเทียม – การบริโภคอาหารที่มีกระเทียมเป็นส่วนผสมสามารถช่วยลดระดับไขมัน LDL (หรือไขมันเลว) ในเลือดได้
ปลาทะเล – การบริโภคอาหารที่อุดมด้วย omega 3 fatty acid เช่น ปลาทะเล สามารถลดความเสี่ยงจากการเสียชีวิตด้วยโรคหลอดเลือดหัวใจ (Coronary Heart Disease) ประมาณ 50% เมื่อเปรียบเทียบกับประชากรที่ไม่บริโภคปลาทะเล
อะโวคาโด – การบริโภคอาหารที่มีอะโวคาโดเป็นส่วนผสมในปริมาณที่เหมาะสม สามารถช่วยลดความดันโลหิต และลดความเสี่ยงการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจได้
โยเกิร์ต – การบริโภคโยเกิร์ตเป็นประจำสามารถลดระดับคอเลสเตอรอลได้ประมาณ 4% นอกจากนี้ โยเกิร์ตยังช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น และสามารถสร้างวิตามินที่จำเป็นต่อร่างกาย อย่างไรก็ตาม รศ.ดร.กิติพงศ์แนะนำให้เลือกโยเกิร์ตที่มีน้ำตาลเป็นส่วนผสมไม่มากเกินไป โดยดูจากส่วนประกอบในฉลากโภชนาการ
อาหารเป็นยาต่างจากผลิตภัณฑ์เสริมอาหารหรือไม่?
นอกจากอาหารที่เรารับประทานกันแล้ว หลายคนก็อาจจะมีการกินอาหารเสริมร่วมด้วยเพื่อเสริมสารอาหารบางอย่างให้ร่างกาย เช่น วิตามินซี คอลลาเจน โพรไบโอติก เป็นต้น แล้ว “ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม” กับ “ผลิตภัณฑ์อาหารเป็นยา” เหมือนหรือต่างกันอย่างไร
รศ.ดร.กิติพงศ์อธิบายว่าผลิตภัณฑ์อาหารเสริมหรือเสริมอาหารเป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้รับประทานนอกเหนือจากการรับประทานอาหารตามปกติ ผลิตภัณฑ์มักอยู่ในรูปแบบเม็ด แคปซูล ผง เกล็ด ของเหลวหรือลักษณะอื่น ซึ่งมิใช่รูปแบบอาหารตามปกติ (conventional food)

อาหารเป็นยาหรืออาหารฟังก์ชัน (functional food) เป็นอาหารที่ประกอบด้วยสารสำคัญหรือสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพ ที่อาจเติมหรือเกิดขึ้นในระหว่างกระบวนการผลิต อาหารประเภทนี้ไม่ได้มีเพียงคุณค่าทางโภชนาการพื้นฐานที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายเท่านั้น แต่มีงานวิจัยสนับสนุนว่ามีส่วนช่วยในการเสริมสร้างการทำงานของร่างกายให้ทำหน้าที่ได้เป็นปกติ หรือช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคต่าง ๆ โดยเฉพาะโรคติดต่อไม่เรื้อรัง เช่น โรคเบาหวาน อย่างที่มีเครื่องดื่มช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด หรืออาหารที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
สำหรับการเลือกผลิตภัณฑ์อาหารเสริมหรืออาหารฟังก์ชัน รศ.ดร.กิติพงศ์ได้ให้คำแนะนำคร่าว ๆ ดังต่อไปนี้
- เลือกตามความต้องการของร่างกายหรือประโยชน์ที่ผู้บริโภคต้องการ เช่น บำรุงสายตา บำรุงสมอง
- พิจารณาผู้ผลิตว่ามีความน่าเชื่อถือหรือไม่
- เลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีเครื่องหมาย อย. ซึ่งเป็นเครื่องหมายที่แสดงให้ผู้บริโภคทราบว่า ผลิตภัณฑ์อาหารนั้น ๆ ได้ผ่านการพิจารณาด้านคุณภาพและความปลอดภัย ตามมาตรฐานเกณฑ์การผลิต หรือการนำเข้า จากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาแล้ว
ศักยภาพของไทยในการผลิตอาหารเป็นยา
รศ.ดร.กิติพงศ์กล่าวว่าผู้บริโภคในปัจจุบันหันมาดูแลสุขภาพมากขึ้นและยินดีจ่ายเพื่อซื้อผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ จึงนับเป็นโอกาสทองของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมอาหาร
“อุตสาหกรรมอาหารที่เกี่ยวข้องกับการผลิตอาหารฟังก์ชันมีโอกาสทางการตลาดค่อนข้างมาก ไม่เพียงมีผู้บริโภคจำนวนมากทั้งในและต่างประเทศ แต่ด้วยปัจจุบันเรามีเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่ช่วยให้กระบวนการผลิตมีประสิทธิภาพมากขึ้น มีหน่วยงานที่ให้ทุนสนับสนุนการวิจัยผลิตภัณฑ์อาหารที่มุ่งเน้นอาหารเพื่อสุขภาพหรือสมุนไพรต่าง ๆ ที่ปลูกในบ้านเรา ซึ่งตรงนี้น่าจะเป็นการช่วยหนุนเศรษฐกิจบ้านเราให้ดีขึ้นได้ ดังนั้น ภาคเอกชนควรหันมาให้ความสำคัญและใส่ใจกับเรื่องอุตสาหกรรมอาหารเพื่อสุขภาพให้มากขึ้น เพื่อที่จะทำให้สามารถดึงดูดลูกค้า รวมไปถึงเป็นการสร้างโอกาสในการแข่งขันทางการตลาดให้มากขึ้นได้อีกด้วย”
รศ.ดร.กิติพงศ์ยกตัวอย่าง 4 แนวทางการพัฒนาและผลิตผลิตภัณฑ์ “อาหารเป็นยา” ของไทย ดังนี้
- การใช้สมุนไพรไทย: ประเทศไทยอุดมไปด้วยสมุนไพรที่มีฤทธิ์เป็นยา ดังนั้นจึงสามารถนำสมุนไพรไทยมาประยุกต์ใช้กับผลิตภัณฑ์อาหารได้ เช่น เครื่องดื่มจากขิง หรือเครื่องดื่มจากกระเจี๊ยบแดง ที่มีสรรพคุณในการลดไขมันในเลือด และเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
- ผลิตภัณฑ์จากผักและผลไม้: การผลิตผลิตภัณฑ์อาหารจากผักและผลไม้ส่งเสริมสุขภาพได้ เพราะผักและผลไม้อุดมด้วยสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพ รวมถึงสารที่มีฤทธิ์การต้านอนุมูลอิสระ
- การใช้เทคโนโลยีการผลิตอาหาร: ประเทศไทยมีองค์ความรู้จากการวิจัยและเทคโนโลยีทางอาหารมากมาย ที่เอามาใช้ต่อยอดในการผลิตอาหารเป็นยา เช่น เทคโนโลยีการหมักที่สามารถใช้ในการผลิตโยเกิร์ตเพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และช่วยเพิ่มระดับไขมันดี (HDL) ในเลือด หรือ เทคโนโลยีการสกัดที่สามารถช่วยในการแยกสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพที่ส่งเสริมสุขภาพออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ หรือ เทคโนโลยีการผลิตปลาร้าที่สามารถลดระยะเวลาการหมัก เป็นต้น
- การส่งเสริมการปลูกพืชสมุนไพร: รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ส่งเสริมการปลูกพืชสมุนไพรและการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรไทย เช่น การสนับสนุนการวิจัย การส่งเสริมการตลาด และการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิต เพื่อใช้วัตถุดิบสมุนไพรไทยในการผลิตผลิตภัณฑ์อาหารที่ส่งเสริมสุขภาพ
แนะภาครัฐ หนุนวิจัย เสริมการตลาด สร้างเศรษฐกิจไทยด้วย “อาหารเป็นยา”
แม้ประเทศไทยจะมีต้นทุนด้านภูมิปัญญาทางการเกษตรและอาหาร แต่การผลิตผลิตภัณฑ์ “อาหารเป็นยา” จำเป็นต้องมีการวิจัยและพัฒนาเพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค ซึ่งหมายความว่านักวิจัยและนักวิชาการจะมีบทบาทสำคัญในการยกระดับการผลิตอาหารเป็นยาให้มีประสิทธิภาพและมีความปลอดภัยสำหรับผู้บริโภค
“อุตสาหกรรมอาหารเพื่อสุขภาพกำลังเติบโตอย่างรวดเร็วทั่วโลก จึงนับว่าเป็นโอกาสทองของประเทศไทยในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับอาหารไทย ซึ่งการลงทุนในด้านการวิจัยและพัฒนาการสร้างแบรนด์ที่เข้มแข็ง รวมไปถึงการส่งเสริมการลงทุนจากภาคเอกชน จะสามารถช่วยผลักดันให้อุตสาหกรรมอาหารนี้เติบโตและสามารถสร้างรายได้อย่างยิ่งให้กับประเทศไทย” รศ.ดร.กิติพงศ์กล่าวทิ้งท้าย
ภาควิชาเทคโนโลยีทางอาหาร คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีบริการให้ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับการผลิตอาหาร การตรวจสอบคุณภาพอาหาร การถนอมอาหาร และการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหาร โดยปัจจุบันมีงานวิจัยและนวัตกรรมที่สามารถนำไปใช้ในอุตสาหกรรมจริง
สนใจข้อมูลหรือบริการให้คำปรึกษา ติดต่อได้ที่ภาควิชาเทคโนโลยีทางอาหาร คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โทร 02-218-5515-6 หรือ facebook : FoodTech Chula
https://www.chula.ac.th/news/175590/

จุฬาฯ เป็นที่ที่เราได้มาพบตัวเองจริงๆ และเป็นช่วงเวลาที่สนุกที่สุด
คุณรสสุคนธ์ กองเกตุ (ครูเงาะ) นิสิตเก่า คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย