Highlights

ฟอสซิลไฮยีนาจากบรรพกาล เจาะยุคน้ำแข็งในประเทศไทยฟอสซิลไฮยีนาจากบรรพกาล

ฟอสซิสไฮยีนา

อาจารย์ประจำภาควิชาธรณีวิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ พบฟอสซิลฟันไฮยีนา อุรังอุตัง และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอีกหลายชนิด อายุระหว่าง 200,000 – 100,000 ปีในถ้ำจังหวัดกระบี่ หลักฐานชิ้นสำคัญที่บ่งชี้ว่าในยุคน้ำแข็งในพื้นที่ภาคใต้ของประเทศไทยเคยเป็นทุ่งหญ้ากว้างผสมกับป่า และอาจเป็นเส้นทางการกระจายตัวผ่านของมนุษย์โฮโมอีเร็กตัสที่เคลื่อนย้ายออกจากทวีปแอฟริกาไปยังหมู่เกาะชวา


เมื่อเอ่ยถึงสภาพอากาศและสภาพพื้นที่ภาคใต้ของประเทศไทย หลายคนจะคิดถึงอากาศร้อนชื้น มีฝนตกมาก พื้นที่ป่าทึบเต็มไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่ แต่ในยุคน้ำแข็งเมื่อราว 200,000 ปีที่แล้ว พื้นที่เดียวกันนี้มีสภาพที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิง – อากาศเย็น แห้งแล้ง และเป็นทุ่งหญ้าโล่งกว้าง คล้ายทุ่งสะวันนาที่ปัจจุบันเราเห็นได้ในทวีปแอฟริกา 

เรื่องราวจากบรรพกาลเผยออกมาจาก “ฟอสซิลฟันไฮยีนาลายจุด” ที่ถูกค้นพบในถ้ำจังหวัดกระบี่

“ในยุคน้ำแข็ง โลกมีสภาพภูมิอากาศหนาวขึ้น ธารน้ำแข็งกระจายตัวไปถึงจีนตอนเหนือถึงตอนกลาง แต่โลกของเราไม่ได้ปกคลุมด้วยธารน้ำแข็งทั้งหมด ประเทศไทยไม่มีหลักฐานของธารน้ำแข็ง ไม่มีช้างแมมมอธ แต่มีไฮยีนา!” รองศาสตราจารย์ ดร.กันตภณ สุระประสิทธิ์ อาจารย์ประจำภาควิชาธรณีวิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าว

รศ. ดร.กันตภณ สุระประสิทธิ์ อาจารย์ประจำภาควิชาธรณีวิทยา 
คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
รศ. ดร.กันตภณ สุระประสิทธิ์
อาจารย์ประจำภาควิชาธรณีวิทยา
คณะวิทยาศาสตร์

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

“ฟอสซิลไฮยีนาลายจุดพบได้ทั่วไปในทวีปเอเชีย ทั้งในจีน ลาว เวียดนาม และประเทศไทยตอนบน แต่เมื่อมาเจอที่ภาคใต้ก็แสดงว่าไฮยีนาลายจุดกระจายตัวลงมาถึงคาบสมุทรทางภาคใต้ของไทยด้วย บ่งบอกว่าในอดีตภาคใต้เคยมีสภาพเป็นทุ่งหญ้าคล้ายสะวันนามาก่อน” รศ. ดร.กันตภณ กล่าว

ในประเทศไทยมีรายงานการพบฟอสซิลไฮยีนาอยู่หลายพื้นที่ เช่น การพบฟอสซิลไฮยีนาที่ถ้ำพระ (บ้านฟ้าสวย) จ. เชียงใหม่ ที่ถ้ำวิมานนาคิน จังหวัดชัยภูมิ และที่บ่อทรายโคกสูง จังหวัดนครราชสีมามีการพบหัวกะโหลกที่สมบูรณ์ของไฮยีนาลายจุด แต่ยังไม่เคยมีการสำรวจพบซากสัตว์ชนิดนี้ในภาคใต้ จนกระทั่งทีมนักบรรพชีวินวิทยา นำโดย รศ. ดร.กันตภณ ร่วมกับกรมทรัพยากรธรณีและชมรมคนรักถ้ำกระบี่ เริ่มบุกเบิกการสำรวจซากสัตว์ดึกดำบรรพ์ในถ้ำทางภาคใต้ และได้พบฟอสซิลฟันของไฮยีนาลายจุด ที่ถ้ำเขายายรวก ตำบลอ่าวลึกเหนือ อำเภออ่าวลึก จังหวัดกระบี่ ในปี 2562 และครั้งล่าสุด เมื่อเดือนธันวาคม 2567 พบฟอสซิลฟันไฮยีนาลายจุด พร้อมกับฟอสซิลของกวางป่า อุรังอุตัง หมู เม่น วัว และควาย ที่ถ้ำเขาโต๊ะหลวง บ้านช่องพลีตำบลอ่าวนาง อำเภอเมือง จังหวัดกระบี่

ฟอสซิลเหล่านี้ถูกเก็บรักษาไว้ที่กรมทรัพยากรธรณีวิทยา และบางส่วนเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์ธรณีวิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ เพื่อการศึกษาและวิจัย ภายใต้ชื่อโครงการ“การสำรวจซากดึกดำบรรพ์สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมในสมัยไพลสโตซีนในภาคใต้ของประเทศไทย”

“เราศึกษาอดีต เปรียบเทียบหลักฐานกับปัจจุบัน เพื่อคาดการณ์อนาคต” คือ บทบาทหนึ่งของนักบรรพชีวินวิทยา รศ. ดร.กันตภณ กล่าว “เราศึกษาซากฟอสซิลดึกดำบรรพ์ วิเคราะห์ถิ่นอาศัยและสภาพแวดล้อมของสัตว์ดึกดำบรรพ์จากกระบวนการวิเคราะห์ทางธรณีวิทยา ค้นหาคำตอบจากอดีต เปรียบเทียบกับสัตว์ในปัจจุบัน เพื่อตอบอนาคตในภาพรวมว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับโลกเราต่อไป” 

“เวลาสอนนิสิต ผมจะบอกนิสิตว่าเราเรียนรู้อดีตจากหลักฐานปัจจุบัน เพื่อคาดคะเนเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เราไม่สามารถรู้เรื่องราวของอดีตได้เลยถ้าเราไม่มีหลักฐานที่เราพบเห็นในปัจจุบัน เราจะรู้ได้ว่าฟอสซิลนี้ สัตว์ตัวนี้อาศัยอย่างไรในอดีต เราต้องอาศัยสัตว์ปัจจุบันเป็นตัวอย่างเปรียบเทียบกับที่อยู่อาศัยและสภาพแวดล้อมที่สัตว์ปัจจุบันอาศัยอยู่ เมื่อเรารู้เรื่องอดีตจากปัจจุบัน เราก็โยงไปตอบคำถามของอนาคตได้ เช่น วัฏจักรยุคน้ำแข็งจะกลับมาเมื่อไร ภูมิอากาศจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร”

รศ. ดร.กันตภณ อธิบายหลักคิดตั้งต้นในการสำรวจและค้นหาฟอสซิลสัตว์ดึกดำบรรพ์ว่า “ไดโนเสาร์สูญพันธุ์เมื่อ 66 ล้านปีที่แล้ว หลังจากนั้นโลกก็ถูกครอบครองด้วยสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม การเสาะหาซากสัตว์ดึกดำบรรพ์จึงต้องจำกัดขอบเขตอายุของหินในไทยที่มีอายุต่ำกว่า 66 ล้านปี กระบวนการกลายเป็นหินใช้เวลาเป็นแสนหรือล้านปี บางทีก็เป็นหลายล้านปี ดังนั้น การจะหาฟอสซิลสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เราต้องไปหาพื้นที่ที่มีพวกหินตะกอนที่มีอายุอยู่ในช่วงเวลาดังกล่าว”

การสำรวจถ้ำมุ่งหาหินตะกอน เพราะมีฟอสซิลของสัตว์ดึกดำบรรพ์เข้าไปอุด
การสำรวจถ้ำมุ่งหาหินตะกอน เพราะมีฟอสซิลของสัตว์ดึกดำบรรพ์เข้าไปอุด

ถ้ำจึงเป็นจุดหมายสำคัญในการสำรวจและค้นหาฟอสซิลสัตว์ดึกดำบรรพ์ 

“ถ้ำส่วนใหญ่ในไทยมาจากหินปูนที่มีอายุตั้งแต่ 300-250 ล้านปี แต่ตะกอนที่ถูกอุดในถ้ำเกิดขึ้นเมื่อประมาณหลักแสนปี จึงมีอายุน้อยกว่าตัวถ้ำ สมมุติว่าหินที่เราเหยียบอายุ 300 ล้านปี กระบวนการธรณีต้องใช้เวลามากกว่า 100 ล้านปีที่จะก่อให้เกิดเป็นถ้ำที่เราพบเห็นในปัจจุบัน เช่น การยกตัวของพื้นผิวโลก การเกิดเป็นภูเขา หรือทางน้ำใต้ดินที่กัดเซาะเป็นโพรง พอถ้ำเป็นโพรง ดินตะกอนรอบ ๆ ก็จะไปอุดในรอยแตกของถ้ำ”

“เราจะหาสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่อาศัยบนบก ต้องไปหาตามรอยแตกของถ้ำที่มีตะกอนมาจากรอบ ๆ ถ้ำไปอุด และต่อมาตะกอนเหล่านี้เกิดการแข็งตัวจากสารละลายแคลเซียมคาร์บอเนตหรือน้ำฝนที่ชะเอาหินปูนมาเคลือบไว้นั่นเอง เช่น มีสัตว์ตายอยู่ใกล้ถ้ำ ซากเกิดการเน่าเปื่อย จากนั้นฝนก็ชะซากเน่าเปื่อยเข้าไปอุดตามซอกหรือโพรงภายในถ้ำพร้อมกับตะกอนถ้ำรอบ ๆ” รศ. ดร.กันตภณ อธิบาย

หินตะกอนในถ้ำทำให้อนุมานคร่าว ๆ ได้ว่าฟอสซิลไฮยีนาลายจุดที่เจอในถ้ำอายุประมาณกี่แสนปี

แต่นั่นอาจไม่ใช่เป็นอายุที่เป็นตัวเลขที่แน่นอน รศ. ดร.กันตภณ กล่าว เนื่องจากสัตว์อาจจะตายมายาวนานมาก่อนหน้าที่จะมาถูกฝังอยู่ในตะกอนถ้ำ ทำให้มีข้อจำกัดในเรื่องการหาอายุที่แน่นอน จึงต้องใช้วิธีทางวิทยาศาสตร์หลากหลายวิธีในการวิเคราะห์ร่วมกัน ซึ่งปัจจุบันมี 3 วิธีหลัก ๆ ได้แก่

  1. วิธีการหาอายุจากฟันโดยตรงด้วยหลักการสั่นพ้องของสปินอิเล็กตรอน (Electron Spin Resonance)
  2.  วิธีการหาอายุของตะกอนด้วยหลักการการกระตุ้นเชิงแสง (Optically Stimulated Luminescence) หรือการหาอายุของตะกอนที่โดนแสงล่าสุด
  3. วิธีหาอายุของหินด้วยหลักการอนุกรมยูเรเนียม (U-Series) เพื่อวิเคราะห์อายุหินงอกหินย้อยที่มาสะสมตัวปิดทับบริเวณชั้นตะกอนที่พบฟอสซิล

“ประเทศไทยมีเครื่องมือในการหาอายุทั้ง 3 วิธี แต่เราไม่มีผู้เชี่ยวชาญเรื่องการหาอายุของฟอสซิลและตะกอนถ้ำโดยตรง ผมเลยต้องอาศัยความร่วมมือจากผู้เชี่ยวชาญชาวต่างชาติ และพาผู้เชี่ยวชาญชาวออสเตรเลียและสเปนไปเก็บตัวอย่างดินตะกอนที่เจอไฮยีนา เอาดินและเศษฟันไปวิเคราะห์ และได้คำตอบว่าฟอสซิลไฮยีนาที่พบ มีอายุประมาณ 200,000 ปีและอยู่ในสมัยไพลสโตซีนหรือยุคน้ำแข็ง

รศ. ดร.กันตภณ กล่าวว่าฟอสซิลไฮยีนาลายจุดพบที่ถ้ำเขายายรวกและถ้ำเขาโต๊ะหลวงน่าจะเป็นชนิดเดียวกัน โดยที่ถ้ำเขายายรวก พบขากรรไกรที่มีฟัน 3 ซี่เรียงติดกัน ที่ยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ในตอนที่สัตว์ตาย แม้เวลาจะผ่านไปกว่า 200,000 ปีแล้วก็ตาม

“ไฮยีนาลายจุดอยู่ในกลุ่มสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมและเป็นสัตว์กินเนื้อ ฟันมีลักษณะเป็นปุ่มแหลม สัตว์กินเนื้อจะมีจำนวนฟันไม่เท่ากันและชุดฟันแบ่งเป็นหลายประเภท เช่น ฟันหน้า เขี้ยว ฟันกราม และฟันกรามน้อย สำหรับฟันกรามน้อยด้านบนของไฮยีนาลายจุดมีลักษณะคล้ายใบมีด ซึ่งเป็นจุดเด่นและมีขนาดใหญ่กว่าหมาป่าทั่วไปในปัจจุบัน” รศ. ดร.กันตภณ อธิบาย

ฟอสซิลของไฮยีนาลายจุดเป็นฟันกรามน้อยด้านบน 
มีลักษณะเป็นปุ่มแหลมและยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์
ฟอสซิลของไฮยีนาลายจุดเป็นฟันกรามน้อยด้านบน
มีลักษณะเป็นปุ่มแหลมและยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์

จากการนำฟอสซิลฟันไฮยีนาที่เจอในถ้ำเขายายรวกไปวิเคราะห์หาสัดส่วนค่าไอโซโทปที่ประเทศเยอรมนี รวมทั้งการวิเคราะห์องค์ประกอบทางกายภาพ นอกจากจะบ่งบอกว่าไฮยีนาอาศัยอยู่ในทุ่งสะวันนาแล้ว ยังบอกได้อีกว่ามันกินอะไรเป็นอาหาร

ค่าไอโซโทปของธาตุคาร์บอนของฟันไฮยีนาตรงกับฟันกวางป่าซึ่งเป็นสัตว์กินหญ้า เลยรู้ว่าไฮยีนาน่าจะกินกวางป่าเป็นอาหาร เพราะว่ามันกินกวางเข้าไปก็เลยได้รับค่าคาร์บอนไอโซโทปของกวางป่าเข้าสู่กระบวนการสร้างฟันของไฮยีนาลายจุด ซึ่งค่าคาร์บอนไอโซโทปของกวางป่าบอกว่ากินหญ้า ก็แสดงว่าในอดีตบริเวณภาคใต้ในยุคน้ำแข็งก็น่าจะเต็มไปด้วยทุ่งหญ้า

รศ. ดร.กันตภณ สนใจศึกษาสิ่งมีชีวิตในยุคน้ำแข็งหรือสมัยไพลสโตซีน (Pleistocene) อายุประมาณ 2.6 ล้านปี – 12,500 ปี ซึ่งเป็นช่วงสมัยก่อนสมัยโฮโลซีน (Holocene) หรือยุคอบอุ่นปัจจุบันนั่นเอง

“ผมสนใจและต้องการศึกษาสิ่งมีชีวิตในยุคน้ำแข็งว่ามีหน้าตาเป็นอย่างไร แล้วพบว่ายุคนี้มีไฮยีนาลายจุด มีอุรังอุตัง แต่พอโลกอยู่ในช่วงอบอุ่นระหว่างยุคน้ำแข็งก็เจอจะฟอสซิลเสือโคร่ง และสัตว์อีกหลายชนิดที่เหมือนกับสัตว์ในยุคปัจจุบัน”

ฟอสซิลของสัตว์ที่มาจากต่างกาลเวลาเผยให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมและภูมิอากาศที่ส่งผลกับการดำรงอยู่ของสิ่งมีชีวิต รศ. ดร.กันตภณ กล่าว

“เมื่อโลกร้อนขึ้น มีความชุ่มชื้นมากขึ้น ต้นไม้ใหญ่เติบโตได้ดีและสูงขึ้น ส่งผลให้ทุ่งหญ้าเติบโตได้ยาก ไฮยีนาไม่ชอบสภาพอากาศแบบนี้เพราะไม่ถนัดในการล่าสัตว์ในพื้นที่ป่าและรก จึงค่อย ๆ สูญพันธุ์ไปจากพื้นที่ที่ปัจจุบันเป็นประเทศไทย”  

จากการวิจัย “การสำรวจซากดึกดำบรรพ์สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมในสมัยไพลสโตซีนในภาคใต้ของประเทศไทย” รศ. ดร.กันตภณ พบอีกว่าประเทศไทยในยุคน้ำแข็งไม่ได้มีสภาพเป็นแบบทุ่งหญ้าสะวันนาเพียงอย่างเดียวแต่ยังมีส่วนที่เป็นป่าผสมอยู่ด้วย

“ไทยอยู่ในบริเวณที่ได้รับอิทธิพลของลมมรสุม ประเทศไทยมีสภาพอากาศชื้น สอดคล้องกับการเกิดขึ้นของป่าฝน เพราะอิทธิพลของลมมรสุมที่พัดมาจากทะเล แต่บางบริเวณไม่ได้รับผลกระทบจากลมมรสุมจากมหาสมุทรโดยตรง หรืออาจจะได้รับลมมรสุมที่พัดพาความแห้งแล้งมา ทุ่งหญ้าก็จะสามารถพัฒนาเกิดขึ้นเป็นบริเวณกว้างในพื้นที่นั้นได้ เท่าที่ผมศึกษาฟอสซิลมา มีสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่อาศัยอยู่ในทุ่งหญ้าเยอะ แต่ก็ยังมีบริเวณที่เป็นป่าหลงเหลือและเคยเป็นถิ่นอาศัยของอุรังอุตังที่สูญพันธุ์จากประเทศไทยไปแล้ว”

รศ. ดร.กันตภณ เชื่อว่า พื้นที่ภาคใต้ของไทยในสมัยยุคน้ำแข็งเคยเป็นทุ่งหญ้าที่มีป่าผสมมาก่อน
รศ. ดร.กันตภณ เชื่อว่า พื้นที่ภาคใต้ของไทยในสมัยยุคน้ำแข็งเคยเป็นทุ่งหญ้าที่มีป่าผสมมาก่อน

รศ. ดร.กันตภณ กล่าวต่อว่า ประเทศไทยเคยมีการค้นพบฟอสซิลของอุรังอุตังในยุคน้ำแข็ง ทั้งในจังหวัดชัยภูมิเป็นที่แรก จากนั้นจึงมีการค้นพบภายในถ้ำที่ภาคเหนือ และล่าสุดในถ้ำทางภาคใต้

นี่เป็นข้อพิสูจน์ว่าอุรังอุตังมีการกระจายตัวจากจีนไปสู่อินโดนีเซียในยุคน้ำแข็ง โดยมีประเทศไทยเป็นทางผ่าน อุรังอุตังในสมัยไพลสโตซีนมีค่าคาร์บอนไอโซโทปที่เราวิเคราะห์ตรงกับค่าคาร์บอนไอโซโทปของประชากรของพวกมันในปัจจุบันที่อาศัยอยู่บนต้นไม้ แสดงว่าในช่วงเวลาที่มีทุ่งหญ้าสะวันนา ก็มีการปรากฏของป่าอยู่ด้วยและเป็นป่าเปิด ไม่ได้เป็นทุ่งหญ้าสะวันนาล้วนอย่างที่ปรากฏในทวีปแอฟริกา” รศ. ดร.กันตภณ กล่าวถึงการค้นพบจากการสำรวจฟอสซิลในถ้ำที่จังหวัดกระบี่ตลอดช่วงเวลา 5 ปีที่ผ่านมา และขณะนี้ฟอสซิลของฟันอุรังอุตังกำลังอยู่ในขั้นตอนการศึกษาวิจัยเพื่อระบุชนิด

ไม่เพียงแค่อุรังอุตัง ภาคใต้ของไทยยังเป็นเส้นทางการกระจายตัวของมนุษย์โบราณอย่างมนุษย์โฮโมอีเร็กตัส ที่เดินทางจากแอฟริกาไปปรากฏยังอินโดนีเซียด้วย

“มนุษย์โฮโมอีเร็กตัสเป็นมนุษย์โบราณ เกิดเมื่อประมาณ 2,000,000 ปีในทวีปแอฟริกา และสูญพันธุ์เมื่อประมาณ 100,000 ปีในอินโดนีเซีย เนื่องจากไม่พบเจอซากมนุษย์โฮโมอีเร็กตัสอีกเลยหลังจากนั้น และมีมนุษย์โฮโมเซเปียนส์เข้ามาแทนที่”

นอกจากซากดึกดำบรรพ์สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมแล้ว รศ. ดร.กันตภณ พยายามหาหลักฐานฟอสซิลของมนุษย์โฮโมอีเร็กตัสในสมัยยุคไพลสโตซีนในไทยด้วย กว่า 7 ปี รศ. ดร.กันตภณ ทำวิจัยเรื่อง“การศึกษาสภาพแวดล้อมบรรพกาลที่มนุษย์โบราณอาศัยอยู่ในสมัยไพลสโตซีน บริเวณคาบสมุทรไทย” โดยตั้งสมมติฐานว่า “ประเทศไทยเป็นเส้นทางการกระจายตัวของมนุษย์โฮโมอีเร็กตัสที่เชื่อมต่อระหว่างทวีปเอเชียใต้ไปยังหมู่เกาะอินโดนีเซีย เพราะหากมนุษย์โบราณจะสามารถเดินทางไปถึงหมู่เกาะอินโดนีเซียในช่วงระหว่างที่ระดับน้ำทะเลลดลงและไหล่ทวีปซุนดากลายเป็นผืนบกได้ ประเทศไทยถือเป็นเส้นทางเชื่อมต่อทางภูมิศาสตร์”

“อดีตมนุษย์สกุลโฮโมทุกสายพันธุ์ถือกำเนิดขึ้นในทวีปแอฟริกา จนกระทั่งสภาพแวดล้อมในทวีปแอฟริกาเริ่มเปลี่ยนแปลงจากป่าเป็นสะวันนา ทำให้เอื้อต่อการเคลื่อนย้ายออกจากทวีปแอฟริกา จากหลักฐานทางธรณีวิทยาและฟอสซิลในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก็เชื่อได้ว่าพื้นที่ประเทศไทยในยุคน้ำแข็งส่วนใหญ่เป็นทุ่งหญ้าสะวันนา”

“สมมติฐานที่สนับสนุนการเคลื่อนย้ายของมนุษย์ออกจากแผ่นดินใหญ่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปยังหมู่เกาะชวา เรียกว่า “สมมติฐานเส้นทางสะวันนา” (Savannah Corridor) ซึ่งถูกเสนอขึ้นมาเป็นเวลากว่า 30 ปีแล้ว เพราะหากสภาพภูมิประเทศถูกปกคลุมด้วยป่าฝนเป็นส่วนใหญ่ อาจจะไม่เอื้อต่อการกระจายตัวของมนุษย์โบราณ”

“ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์พยายามหาหลักฐานข้อมูลทางสภาพภูมิอากาศ เช่น หลักฐานของเรณูวิทยาและการวิเคราะห์ไอโซโทปต่าง ๆ และงานวิจัยล่าสุดในปัจจุบันเสนอว่าบริเวณไหล่ทวีปซุนดาหรือบริเวณอ่าวไทยที่เคยเป็นพื้นสะพานแผ่นดิน อาจจะประกอบด้วยป่าเปิดมากกว่าจะเป็นทุ่งหญ้า ซึ่งกระนั้นมนุษย์โฮโมอีเร็กตัสก็ยังสามารถข้ามแผ่นดินซุนดาและเดินทางไปถึงชวาในช่วงยุคน้ำแข็งอยู่ดี”

นอกจากทุ่งสะวันนาแล้ว น้ำทะเลที่ลดลงในยุคน้ำแข็งก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดผืนแผ่นดินที่โผล่พ้นน้ำมากกว่าในปัจจุบัน และเป็นเหมือนสะพานเชื่อมต่อระหว่างแผ่นดินใหญ่กับหมู่เกาะต่าง ๆ ในภูมิภาคนี้

“ในยุคน้ำแข็ง โลกมีสภาพภูมิอากาศที่หนาวเย็นกว่าในปัจจุบัน ระดับน้ำทะเลทั่วโลกลดลง อ่าวไทยกลายเป็นพื้นบก มนุษย์โฮโมอีเร็กตัสจึงใช้เส้นทางนี้เดินผ่านไปถึงอินโดนีเซีย”

แน่นอนว่ามีความเป็นไปได้ที่มนุษย์โฮโมอีเร็กตัสเคยอาศัยอยู่ในพื้นที่บกของอ่าวไทยขณะนั้น “แต่เราก็ยังหาหลักฐานฟอสซิลไม่เจอ และแน่นอนว่าเป็นเรื่องที่ยากที่จะสำรวจหาฟอสซิลในทะเล” รศ. ดร.กันตภณ กล่าว  

จากการศึกษาซากสัตว์ดึกดำบรรพ์ในยุคน้ำแข็ง รศ. ดร.กันตภณ ทำนายว่า “โลกกำลังเดินหน้ากลับไปสู่ยุคน้ำแข็ง”

“นี่คือวัฏจักรของธรรมชาติ ยุคน้ำแข็งสลับกับยุคอบอุ่นระหว่างยุคน้ำแข็ง เกิดขึ้นมาตลอดในสมัยไพลสโตซีน และจะมีการสับเปลี่ยนระหว่าง 2 ยุคอย่างนี้ทุก 20,000 – 30,000 ปี เป็นเวลาคร่าว ๆ ปัจจุบันนี้หรือสมัยโฮโลซีน ประเทศไทยอยู่ในยุคอบอุ่นระหว่างยุคน้ำแข็ง ต่อไปก็จะเข้าสู่ยุคน้ำแข็งแน่นอน เพียงแต่ว่าระหว่างที่เราอาศัยอยู่นี้ทางสู่ยุคน้ำแข็ง โลกก็เกิดความความแปรผันย่อย ๆ ของสภาพภูมิอากาศ ไม่ว่าจะเป็นโลกร้อนขึ้นอย่างที่เราประสบอยู่ในปัจจุบัน”

หากโฮโมเซเปียนส์หรือมนุษย์สายพันธุ์ปัจจุบันรอดจากวิกฤตภาวะโลกร้อน และดำรงเผ่าพันธุ์ไปได้อีกหมื่นปีจนโลกเข้าสู่ยุคน้ำแข็ง จะเกิดอะไรขึ้น ?  

“เมื่อถึง 10,000 ปีข้างหน้า ณ ตอนนั้น ไม่มีใครสามารถรู้ได้อย่างแน่นอนว่าจะเกิดอะไรขึ้น หากเทคโนโลยีได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เราอาจจะสามารถไปตั้งถิ่นฐานในอวกาศได้แล้ว ภัยจากธรรมชาติอาจไม่ใช่ปัจจัยหลักที่ทำลายมนุษย์ แต่แนวโน้มในปัจจุบันที่เราทราบดี คือ การล่มสลายของระบบนิเวศที่เชื่อมโยงกับอาหาร น้ำ และทรัพยากร ซึ่งเป็นปัจจัยหลักในการดำรงชีวิตของเราได้เริ่มเกิดขึ้นแล้ว ดังนั้นการล่า การบุกรุกถิ่นที่อยู่ และการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศกำลังทำให้สัตว์สูญพันธุ์ในอัตราสูงมากในช่วงที่มีการปฏิวัติอุตสาหกรรมเกิดขึ้นจวบจนปัจจุบัน”

นักบรรพชีวินวิทยา Paleontologist คือ ผู้ที่ศึกษาลักษณะรูปร่าง ลักษณะความเป็นอยู่ และประวัติศาสตร์ทางวิวัฒนการของสิ่งมีชีวิตบรรพกาล โดยอาศัยข้อมูลหรือร่องรอยต่าง ๆ ของสัตว์และพืชนั้น ๆ ที่ถูกเก็บบันทึกและรักษาไว้ในชั้นหิน จัดเป็นแขนงหนึ่งของวิชาธรณีวิทยาและชีววิทยา
นักบรรพชีวินวิทยา Paleontologist คือ ผู้ที่ศึกษาลักษณะรูปร่าง ลักษณะความเป็นอยู่ และประวัติศาสตร์ทางวิวัฒนการของสิ่งมีชีวิตบรรพกาล โดยอาศัยข้อมูลหรือร่องรอยต่าง ๆ ของสัตว์และพืชนั้น ๆ ที่ถูกเก็บบันทึกและรักษาไว้ในชั้นหิน จัดเป็นแขนงหนึ่งของวิชาธรณีวิทยาและชีววิทยา

รศ. ดร.กันตภณ กล่าวเสริมว่าการศึกษาในเรื่องสัตว์ยุคน้ำแข็งและเข้าใจถึงสภาพแวดล้อมในยุคนั้นก็เพื่อจะเน้นให้เห็นถึงความสำคัญของความหลากหลายทางชีวภาพในอดีต และวางแผนการฟื้นฟูถิ่นอาศัยและสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิตในปัจจุบัน ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อการอนุรักษ์สายพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตที่กำลังจะสูญพันธุ์อันใกล้นี้ บนพื้นฐานของหลักฐานในอดีตกาล ซึ่งก็คือ บันทึกฟอสซิลนั่นเอง

พิพิธภัณฑ์ธรณีวิทยา ภาควิชาธรณีวิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดให้ผู้สนใจเข้าชมได้ในเวลาทำการ วันจันทร์-ศุกร์ เวลา 8.00-16.00 น. (ปิดวันหยุดนักขัตฤกษ์) ไม่มีค่าเข้าชม

ข้อมูลอ้างอิง https://www.chula.ac.th/news/231429/

จุฬาฯ มีลักษณะของความเป็นพี่น้อง ความอบอุ่น เป็นสังคมที่อยากอนุรักษ์ไว้

ศาสตราจารย์ เภสัชกรหญิง ดร.พรอนงค์ อร่ามวิทย์ คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ไอคอน PDPA

เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีให้กับท่าน และเพื่อพัฒนาคุณภาพการให้บริการเว็บไซต์ที่ตรงต่อความต้องการของท่านมากยิ่งขึ้น ท่านสามารถทราบรายละเอียดเกี่ยวกับคุกกี้ได้ที่ นโยบายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และท่านสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

ท่านสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

อนุญาตทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้ที่มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้ท่านสามารถใช้เว็บไซต์ได้อย่างเป็นปกติ ท่านไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลพฤติกรรมการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน โดยมีจุดประสงค์คือนำข้อมูลมาวิเคราะห์เพื่อปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ให้มีคุณภาพ และสร้างประสบการณ์ที่ดีกับผู้ใช้งาน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด หากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราอาจไม่สามารถวัดผลเพื่อการปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ให้ดีขึ้นได้
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า