รู้จักจุฬาฯ
การบริหาร
อัตลักษณ์มหาวิทยาลัย
Green University
Sustainability
ติดต่อจุฬาฯ
บริจาคให้จุฬาฯ
หลักสูตร
การสมัครเข้าศึกษา
หน่วยงานการศึกษา
บริการนิสิต
บริการวิชาการ
บริการทางการแพทย์
บริการตรวจวิเคราะห์คุณภาพ
สารสนเทศและการสื่อสาร
พื้นที่สร้างสรรค์
ข่าวสารและความเคลื่อนไหว
วารสารจุฬาฯ
สาระความรู้
Highlights
10 ตุลาคม 2568
ผู้เขียน รัตนาวลี เกียรตินิยมศักดิ์
คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ พัฒนาปัญญาประดิษฐ์ Deep GI ให้ AI เรียนรู้จากภาพชิ้นเนื้อมะเร็งนับแสนภาพ ช่วยแพทย์ค้นหาตำแหน่งมะเร็งลำไส้ใหญ่แม่นยำเท่ากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ปัจจุบัน พัฒนาสู่ Phase 2 ค้นหาตำแหน่งและช่วยวินิจฉัยมะเร็งกระเพาะอาหารและท่อน้ำดี พร้อมต่อยอดธุรกิจ Startup ทันทีเพราะได้รับการรับรองจาก อย. แล้ว
สถาบันมะเร็งแห่งชาติรายงานว่าแต่ละปีมีคนไทยป่วยเป็นมะเร็งรายใหม่ราว 140,000 คน เสียชีวิตประมาณ 83,000 คน เฉลี่ยคนไทยเสียชีวิตจากโรคมะเร็งวันละ 227 คน!
สถิติเหล่านี้ลดลงได้หากผู้ป่วยได้รับการตรวจคัดกรองมะเร็งก่อนมีอาการหรือในระยะเริ่มต้น และได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ซึ่งปัจจุบันมีเทคโนโลยีทางการแพทย์หลายอย่างโดยเฉพาะระบบปัญญาประดิษฐ์หรือ AI ที่ช่วยตรวจคัดกรองมะเร็งได้ อย่างเช่น Deep GI นวัตกรรมที่พัฒนาโดยศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ด้านการส่องกล้องระบบทางเดินอาหาร โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย และคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ศูนย์ความเป็นเลิศฯ ใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ส่องกล้องตรวจหามะเร็งลำไส้ใหญ่ หรือเรียกว่า Deep GI Phase 1 สำเร็จเมื่อปี 2565 และเดินหน้าสู่การพัฒนา Deep GI Phase 2 เพื่อใช้ AI ตรวจหามะเร็งท่อน้ำดีและกระเพาะอาหารสำเร็จเป็นรายแรกของโลก เมื่อเดือนมิถุนายน 2568
ศาสตราจารย์ นายแพทย์ รังสรรค์ ฤกษ์นิมิตร ผู้ช่วยอธิการบดี อาจารย์คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการส่องกล้องระบบทางเดินอาหาร จากศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ด้านการส่องกล้องระบบทางเดินอาหาร โรงพยาบาลจุฬาฯ กล่าวว่า “การพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ตรวจทางเดินอาหารมีจุดประสงค์เพื่อให้แพทย์ที่ไม่ได้เชี่ยวชาญในการส่องกล้องทางเดินอาหาร มีเครื่องมือที่สามารถค้นหาติ่งเนื้อได้อย่างแม่นยำ”
“ติ่งเนื้อบางอันตรวจพบยากเพราะไม่ได้มีรูปร่างเป็นก้อน บางอย่างมีลักษณะเป็นปื้นหรือแบนราบ อาจจะทำให้แพทย์มองไม่เห็นและพลาดไป นวัตกรรม AI จะช่วยชี้เป้าให้แพทย์ที่ทำการส่องกล้องเห็นชิ้นเนื้อผิดปกติได้ไวและแม่นมากขึ้น”
Deep GI เป็นนวัตกรรมที่มาจากการทำงานร่วมกันระหว่างคณะแพทยศาสตร์และคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ โดยคำว่า GI หมายถึง Gastrointestinal หรือระบบทางเดินอาหาร ส่วนคำว่า Deep มาจาก Deep Learning คือวิธีการที่ให้ AI เรียนรู้ภาพชิ้นเนื้อที่เป็นมะเร็ง และชิ้นเนื้อที่ไม่เป็นมะเร็ง เพื่อให้สามารถตีกรอบและชี้เป้าชิ้นเนื้อที่เป็นมะเร็ง
“ทีมงานมีความพยายามและความตั้งใจมากในการทำงานนี้ เราใช้การเรียนแบบที่เรียกว่า supervised learning สอน AI โดยเอาภาพที่ใช่และไม่ใช่มะเร็งเป็นแสนภาพจากผู้ป่วย 500 – 1,000 คน ให้ AI ได้เรียนรู้ เราใช้เวลาเป็นปี กว่า AI จะเรียนรู้ภาพทั้งหมด” ศ. นพ.รังสรรค์ กล่าว
“AI ก็เหมือนกับ co-pilot เป็นตัวช่วยชี้ตำแหน่งให้แพทย์ แต่ไม่ได้ทำหน้าที่แทนแพทย์ เพราะการส่องกล้อง แพทย์ต้องเป็นคนทำ การยืนยันผลก็เป็นแพทย์ ในอดีตก็คือแพทย์อ่านเอง แต่ตอนนี้ มี AI ช่วยชี้เป้าและแพทย์ก็วิเคราะห์อีกครั้งว่าใช่มะเร็งหรือเปล่า”
ศ. นพ.รังสรรค์ อธิบายการติดตั้ง Deep GI ว่าเป็นลักษณะ external hardware มีคอมพิวเตอร์ติดตั้งไว้ข้าง ๆ “ระบบสามารถดึงภาพจากการกล้องเข้ามาแปลผล แล้วส่งภาพพร้อมการตีกรอบรอบรอยโรคที่สงสัยกลับไปในจอให้แพทย์อ่านในทันทีขณะทำการส่องกล้อง ไม่ว่าจะเป็นกล้องส่องทางเดินอาหารที่ผลิตจากบริษัทใด รุ่นอะไร Deep GI ของเราอ่านได้หมด”
ส่วนวิธีการตรวจด้วย Deep GI ก็ไม่ต่างจากการส่องกล้องที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน ศ. นพ.รังสรรค์ กล่าว
“AI ไม่ได้ทำให้แพทย์ต้องใช้เวลานานขึ้นและไม่ต้องเตรียมอะไรเป็นพิเศษ ผุ็เข้ารับการส่องกล้องแทบจะไม่รู้สึกว่าใช้ AI ตรวจด้วยซ้ำ การตรวจก็เหมือนปกติคือเข้ามาเตรียมลำไส้ กินยา ฉีดยานอนหลับและส่องกล้อง ใช้เวลาครึ่งชั่วโมง ถ้าพบติ่งเนื้อก็ต้องตัด ใช้เวลาตัดประมาณ 5 นาทีตามมาตรฐาน”
โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่เป็นโรคมะเร็งอันดับที่ 3 ที่คนไทยเป็น แพทย์จึงต้องมุ่งตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่ให้กับประชากรอายุ 50 ปีขึ้นไป ปัญหาคือมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญการส่องกล้องไม่พอกับจำนวนประชากร จึงเป็นที่มาของการคิดค้นนวัตกรรม Deep GI ตั้งแต่ปี 2561
“ประชากรอายุ 50 ปี ขึ้นไปทั้งประเทศตอนนี้มีราว 15 ล้านคน แพทย์ผู้ชำนาญการตรวจด้วยการส่องกล้องมีประมาณ 1,000 คน โดยจำนวนและสัดส่วนไม่พอ จึงต้องอาศัยแพทย์อื่น ๆ ที่ไม่ได้ฝึกเรื่องการส่องกล้องทางเดินอาหารโดยตรง เช่น ศัลยแพทย์ที่มาช่วยส่องกล้อง และเราก็มีการตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่ด้วยการตรวจอุจจาระว่ามีเลือดแฝงหรือไม่ ซึ่งจะคัดกรองได้อีก เหลือเพียง ร้อยละ 10 คือ 1.5 ล้านคน แพทย์ตรวจคัดกรองวันละ 20 – 30 รายก็ยังไม่ทันอยู่ดี เรานัดการตรวจคัดกรองแต่ละรอบห่างกัน 5 ปี ปัญหาคือผู้ให้บริการกับจำนวนผู้ป่วยที่ต้องการรับการบริการอาจจะไม่ทัดเทียมกับห้วงเวลาของเป้าหมายที่เราต้องการตรวจให้ได้ในแต่ละปี”
“สิ่งที่ทำได้คือสอนแพทย์ที่สนใจส่องกล้องและเริ่มงานใหม่ได้ทำงานส่องได้มีประสิทธิภาพเท่าแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ โดย AI จะช่วยแพทย์ผู้ที่ยังไม่ชำนาญ หรืออยู่ในระหว่างการฝึกฝน หรือแพทย์ที่ยังทำงานไม่กี่ปี ให้สามารถส่องกล้องตรวจดูมะเร็งลำไส้ใหญ่และหาติ่งเนื้อได้แม่นยำมากขึ้นและมีความมั่นใจ ซึ่งจากการวิจัยประสิทธิภาพของ AI เราพบว่าสามารถช่วยให้แพทย์เหล่านี้ตรวจติ่งเนื้อได้ใกล้เคียงกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และทำให้ผู้ป่วยมั่นใจได้ว่าได้รับการตรวจที่มีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับการตรวจโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ”
ศ. นพ.รังสรรค์ กล่าวต่อไปว่า Deep GI จะช่วยให้การคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่ทำได้ง่าย กว้างขวางและครอบคลุมประชากรกลุ่มเสี่ยงได้มากยิ่งขึ้น
“การผลิตแพทย์ กว่าจะได้ 1 คนต้องเรียนกันถึง 12 ปี แต่การสร้าง AI ใช้เวลาน้อยกว่าและเราสามารถเพิ่มจำนวนได้อย่างไม่มีข้อจำกัด เพียงติดตั้ง hardware หรือ software ที่จำเป็น หากเรามี Deep GI มากขึ้น เราก็สามารถตรวจคัดกรองประชากรไทยอายุ 50 ปีขึ้นไป ที่ควรมารับการตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่ให้เป็นไปตามเป้าที่คาดหวัง คือ 1.5 ล้านได้ใกล้เคียงเป้าหมายมากขึ้น”
ผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ 100 คน ที่ตรวจพบจะพบว่ามีประมาณร้อยละ 50 ที่สามารถอยู่ในระยะที่ผ่าตัดได้ แต่สำหรับมะเร็งกระเพาะอาหารและท่อน้ำดีจะสามารถผ่าตัดได้น้อยกว่าร้อยละ 20เพราะวินิจฉัยโรคนั้นค่อนข้างยากในระยะต้นๆของโรคและต้องใช้ความชำนาญในการตรวจมากกว่า
“Deep GI Phase 2 เป็นเรื่องของกระเพาะอาหารและท่อน้ำดี ซึ่งมีความยากมากกว่าลำไส้ใหญ่ เราใส่ข้อมูลชุดใหม่ให้ AI ได้เรียนรู้ และเราเป็นกลุ่มแรกของโลกที่ใช้ AI ในการตรวจหามะเร็งกระเพาะอาหารและท่อน้ำดี ผู้ป่วยที่จะได้รับการตรวจจะต้องเป็นผู้ป่วยที่มีอาการ มีความเสี่ยง และแพทย์แนะนำให้ตรวจด้วยวิธีการส่องกล้องและสามารถใช้ระบบ Deep GI เข้าช่วยในการตรวจได้”
“การส่องกล้องลำไส้ใหญ่โดยใช้ AI ตรวจติ่งเนื้อที่นูนขึ้นมาสามารถดูได้ง่าย แต่ในกระเพาะอาหารเนื้อจะเป็นปื้นแดงสีซีด มองเผิน ๆ ก็นึกว่าปกติ ดังนั้นแพทย์ที่ไม่คุ้นเคยก็จะดูยากเข้าไปใหญ่ พอเป็นปื้นก็กำหนดขอบเขตของรอยโรคได้ยาก ดังนั้น AI ที่ใช้จึงต้องมีความละเอียดและความยากในการอ่านมากกว่าในลำไส้ใหญ่”
“สำหรับมะเร็งในท่อน้ำดียิ่งดูยากขึ้นไปอีก เนื้อมะเร็งไม่ได้เป็นปื้น แต่เป็นรอยเป็นร่องฉีกขาดขนาดเล็ก บางทีเอาชิ้นเนื้อมาตรวจ ขนาดดูด้วยตาเปล่าและสงสัยว่าใช่ ยังเล็งในตำแหน่งว่าน่าจะใช่แต่กลับไม่ใช่ ในส่วนของ AI ก็ช่วยแพทย์ในการเล็งเป้า เหมือนกับนักบิน F-16 ใช้เรดาห์ว่าจะยิงตรงนี้ ซึงเมื่อ AI ชี้เป้าตำแหน่งของท่อน้ำดีหรือกระเพาะที่ผิดปกติ แพทย์ก็สามารถตรวจหาและตัดชิ้นเนื้อได้ถูกต้อง”
ประสิทธิภาพของปัญญาประดิษฐ์ทำให้แพทย์ทั่วไปสามารถตรวจหามะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ใกล้เคียงเท่ากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญถึงร้อยละ 97 สำหรับประสิทธิภาพการตรวจหามะเร็งกระเพาะอาหารและท่อน้ำดีนั้นกำลังอยู่ในขั้นของการทดลอง
ศ. นพ.รังสรรค์ กล่าวถึงความแม่นยำในการใช้ Deep GI ว่า “ติ่งเนื้อมี 2 ชนิดคือ ติ่งเนื้อที่เป็นมะเร็งในอนาคต และจะไม่ได้เป็นมะเร็งในอนาคต อย่างไรก็ตามการวิเคราะห์ชิ้นเนื้อว่าจะเป็นติ่งเนื้อกลายพันธุ์เป็นมะเร็งหรือไม่ปัจจุบันให้แพทย์เป็นคนอ่านเอาเอง ซึ่งแพทย์สามารถวิเคราะห์ได้ถูกต้องประมาณร้อยละ 70 สุดท้ายและติ่งเนื้อก็ต้องถูกตัดไปส่งเพื่อตรวจดูด้วยกล้องจุลทรรศน์อยู่ดี แต่ในอนาคต AI ที่กำลังพัฒนาขึ้นใหม่จะสามารถช่วยแปลและอ่านชนิดของติ่งเนื้อได้โดยตรงซึ่งเรียกว่า CADx”
“Deep GI Phase 1 นอกจากการตรวจหามะเร็งแล้ว เรายังเพิ่มฟีเจอร์ในการวินิจฉัยโรค หรือ diagnosis ให้ได้ใกล้เคียงกับผู้เชี่ยวชาญ และทำได้ดีกว่าแพทย์ผู้ไม่เชี่ยวชาญ เพราะอ่านได้แม่นยำกว่า ในขณะที่ AI ตรวจมะเร็งลำไส้ใหญ่ในท้องตลาด บางแบรนด์เป็นออปชันเสริม แต่ AI ของเราใส่ CADx ไปในเครื่องมือการตรวจได้เลย”
“หลักการปัญญาประดิษฐ์ข้อมูลเป็นของใครก็จะแม่นในข้อมูลของเขา การนำเข้าปัญญาประดิษฐ์จากต่างประเทศ เมื่อเอามาข้ามพื้นที่ ความแม่นยำและความไวในการตรวจจะลดน้อยลง ถ้าใช้ข้อมูลของคนไทย โดยคนไทยเป็นคนทำ ก็จะยิ่งแม่นยำมากขึ้น”
ศ. นพ.รังสรรค์ เผยว่า Deep GI ได้ผ่านการทดสอบ ทดลอง และวิจัยแล้ว ขณะนี้ได้รับการอนุมัติจากองค์การอาหารและยา (อย.) เพื่อนำมาใช้ในการตรวจผู้ป่วยทั่วไป ซิ่งขั้นตอนต่อไปจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยสนับสนุนให้นำไปใช้ประโยชน์ในวงกว้างในโรงพยาบาลรัฐบาลทั่วประเทศผ่านกระทรวงสาธารณสุขโดยการสนับสนุนของทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน นอกจากนี้ในโรงพยาบาลของภาคเอกชนสามารถติดต่อเพื่อนำไปใช้ได้ผ่านบริษัท Startup ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยต่อไป
“ล่าสุดเราได้รับการสนับสนุนจากนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(BOI)ในการทำโครงการนำร่องกับโรงพยาบาล 8 แห่งที่จะนำเอาอุปกรณ์ต้นแบบไปทดลองใช้ เช่น โรงพยาบาลพระจอมเกล้า จังหวัดเพชรบุรี โรงพยาบาลสุรินทร์ โรงพยาบาลร้อยเอ็ด และในจังหวัดอื่นๆ”
ศ. นพ.รังสรรค์ กล่าวด้วยความหวังว่าเมื่อนวัตกรรมนี้ผ่านการรับรองจาก อย. แล้ว จุฬาฯ อาจจะทำ B2G กับกระทรวงสาธารณสุข และ B2B กับโรงพยาบาลเอกชน ที่แสดงความสนใจนวัตกรรม เป็นต้น
“นอกจากเทคโนโลยี Deep GI จะสามารถอ่านมะเร็งได้รวดเร็วและความแม่นยำแล้ว ในอนาคตเราอยากพัฒนา AI ที่สามารถอ่านชิ้นเนื้อที่จะกลายพันธุ์เป็นมะเร็งได้ และวิเคราะห์ได้ว่าชิ้นเนื้อนี้ต้องตัดหรือไม่ต้องตัด”
ท้ายที่สุด ศ. นพ.รังสรรค์ หวังว่า Deep GI จะเป็นนวัตกรรมที่ช่วยคัดกรองมะเร็ง ป้องกันปัญหาก่อนสายเกินแก้ ประหยัดค่าใช้จ่ายในการรักษามะเร็งที่ลุกลาม เพิ่มคุณภาพชีวิตให้ผู้ป่วยและครอบครัว ลดอัตราการป่วยและการสูญเสียของคนไทยจากโรคมะเร็งทางเดินอาหารในแต่ละปี
ศ. นพ.รังสรรค์ แนะนำให้ผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป ทั้งเพศชายและเพศหญิง ตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่ โดยเฉพาะผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งกระเพาะ หรือมะเร็งเต้านม ควรมาตรวจตั้งแต่อายุ 40 ปี ขึ้นไป
“ข้อดีของการส่องกล้องลำไส้ใหญ่ เมื่อเทียบกับการตรวจคัดกรองมะเร็งอื่น ๆ เช่น ตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านม ถ้าพบว่าเป็นมะเร็งก็ต้องไปตัดชิ้นเนื้อทีหลัง แต่สำหรับการส่องกล้องลำไส้ใหญ่เมื่อสงสัยว่าเป็นชิ้นเนื้อที่เกี่ยวข้องกับมะเร็งก็ตัดได้เลย แต่ถ้าดูชิ้นเนื้อว่าไม่เป็นมะเร็งแน่ ๆ ดูแล้วไม่น่าจะกลายพันธุ์ และติ่งเล็กก็อาจจะทิ้งไว้ไม่ต้องตัด เพื่อลดเวลาในการตัด ลดความเสี่ยงในการตัด เพราะการตัดจะมีเลือดออก พอไม่ต้องตัดเวลาก็ลดลง ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการอ่านผลชิ้นเนื้อ”
“ชิ้นเนื้อเล็กที่ผิดปกติแต่ยังไม่เป็นมะเร็ง อาจจะตัดทิ้งเรียกว่า resect and discard ตัดและโยนทิ้งเป็นกระบวนการทางการแพทย์ที่เริ่มใช้ในหลายประเทศ เพื่อประหยัดค่าอ่านชิ้นเนื้อ แต่ชิ้นใหญ่เมื่อตัดแล้วจะนำไปอ่านด้วยกล้องจุลทรรศน์ต่อไป”
Zero Formalin น้ำยารักษาสภาพร่างสัตว์ เพื่อห้องเรียนปลอดภัย ไร้ฟอร์มาลิน
จุฬาฯ เปิดโครงการ “ตรวจลำดับสารพันธุกรรมในทารกแรกเกิด” คัดกรองและป้องกันโรคทางพันธุกรรม
ขาหมูสามสหาย นวัตกรรมอาหารโปรตีนสูง ไขมันต่ำ โซเดียมน้อย สูงวัยอร่อยได้ สุขภาพไม่พัง
แพทย์จุฬาฯ ผ่าตัดรักษาโรคหยุดหายใจขณะหลับ ด้วยเทคนิคใหม่ HGNS สำเร็จเป็นแห่งที่ 4 ในเอเชีย
จุฬาฯ เปิดตัว CUPTI นวัตกรรมเครื่องวัดแรงลิ้นต้นแบบฝีมือนักวิจัยไทย ราคาประหยัด เพื่อผู้ป่วยเข้าถึงได้
จุฬาอารีนำร่องชุมชนสูงวัยต้นแบบ พร้อมรับสึนามิผู้สูงอายุในอนาคต
จุฬาฯ สนับสนุนให้อาจารย์ทำงานวิจัย นับว่าเป็นสิ่งที่ดีมากต่อทั้งอาจารย์ นิสิต รวมถึงภาคประชาสังคม รองศาสตราจารย์ ดร.สุชนา ชวนิชย์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
จุฬาฯ สนับสนุนให้อาจารย์ทำงานวิจัย นับว่าเป็นสิ่งที่ดีมากต่อทั้งอาจารย์ นิสิต รวมถึงภาคประชาสังคม
รองศาสตราจารย์ ดร.สุชนา ชวนิชย์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีให้กับท่าน และเพื่อพัฒนาคุณภาพการให้บริการเว็บไซต์ที่ตรงต่อความต้องการของท่านมากยิ่งขึ้น ท่านสามารถทราบรายละเอียดเกี่ยวกับคุกกี้ได้ที่ นโยบายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และท่านสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า
ท่านสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น
ประเภทของคุกกี้ที่มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้ท่านสามารถใช้เว็บไซต์ได้อย่างเป็นปกติ ท่านไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลพฤติกรรมการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน โดยมีจุดประสงค์คือนำข้อมูลมาวิเคราะห์เพื่อปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ให้มีคุณภาพ และสร้างประสบการณ์ที่ดีกับผู้ใช้งาน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด หากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราอาจไม่สามารถวัดผลเพื่อการปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ให้ดีขึ้นได้ รายละเอียดคุกกี้