ข่าวสารจุฬาฯ

นักวิชาการคณะนิติศาสตร์ จุฬาฯ ร่วมเสวนา “ฬ.จุฬาฯ นิติมิติ” ประเทศไทยกับการระงับข้อพิพาทที่ศาลโลก

คณะนิติศาสตร์ จุฬาฯ จัดเสวนาทางวิชาการ “ฬ.จุฬาฯ นิติมิติ” ในหัวข้อ “ประเทศไทยกับการระงับข้อพิพาทที่ศาลโลก” เมื่อวันอังคารที่ 17 มิถุนายน  2568 ณ ห้องประชุมสุรเกียรติ์ เสถียรไทย คณะนิติศาสตร์ จุฬาฯ  โดยมี ผศ.ดร. ปารีณา ศรีวนิชย์ คณบดีคณะนิติศาสตร์ จุฬาฯ  กล่าวเปิดงาน จากนั้นเป็นการเสวนาโดยคณาจารย์จากหมวดวิชากฎหมายระหว่างประเทศในหัวข้อ “ประเทศไทยจำเป็นต้องไปศาลโลกหรือไม่”  โดย ผศ.ดร.ภาวัฒน์ สัตยานุรักษ์ “คำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหารและแผนที่ 1:200,000 มีผลผูกพันประเทศไทยในเรื่องเขตแดนเพียงใด” โดย ผศ.ดร.ดร.ปภาวดี ธโนดมเดช  และ “กลไก JBC สามารถใช้ในการระงับข้อพิพาทเรื่องเขตแดนได้อย่างไร” โดย อ.อินทัช ศิริวัลลภ

ผศ.ดร.ปารีณา ศรีวณิชย์ คณบดีคณะนิติศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่า จากสถานการณ์ตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชาในช่วงที่ผ่านมานำไปสู่การถกเถียงในสื่อสาธารณะเกี่ยวกับประเทศไทยกับการระงับข้อพิพาทที่ศาลโลก คณะนิติศาสตร์ จุฬาฯ มีพันธกิจในการให้บริการวิชาการแก่สังคมและมีคณาจารย์ผู้เชี่ยวชาญจึงจัดเวทีเสวนาวิชาการครั้งนี้โดยยึดหลักข้อเท็จจริงและความรู้ทางวิชาการ เพื่อส่งเสริมการแสดงความเห็นในที่สาธารณะอย่างสร้างสรรค์และมีข้อมูลรองรับ สอดคล้องกับนโยบายของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยที่ว่า “เมื่อสังคมมีปัญหา จุฬาฯ มีคำตอบ”

ผศ.ดร.ภาวัฒน์ สัตยานุรักษ์ อธิบายถึงความจำเป็นของประเทศไทยว่าต้องไปศาลโลกหรือไม่ โดยกล่าวว่ารัฐทุกรัฐมีอธิปไตยและมีสิทธิที่จะเลือกว่าจะอยู่ภายใต้เขตอำนาจของศาลโลกหรือไม่ จริงอยู่ที่ศาลโลกเป็นองค์กรตุลาการหลักของสหประชาชาติ และสมาชิกสหประชาชาติทุกประเทศเป็นภาคีของธรรมนูญศาลโลก แต่ไม่ได้หมายความว่าข้อพิพาทระหว่างประเทศทั้งหมดต้องยุติที่ศาลโลกเท่านั้น ตามกฎบัตรสหประชาชาติ รัฐสมาชิกสามารถเลือกใช้วิธีการระงับข้อพิพาทโดยสันติวิธีรูปแบบอื่นที่ตกลงกันได้ นอกจากนี้ การเป็นภาคีธรรมนูญศาลโลกไม่ได้ทำให้ศาลมีเขตอำนาจโดยอัตโนมัติ ศาลจะมีอำนาจพิจารณาคดีได้ก็ต่อเมื่อรัฐที่เกี่ยวข้อง “ยินยอม” เท่านั้น ปัจจุบันจากประมาณ 196 ประเทศ มีเพียง 74 ประเทศ รวมกัมพูชาด้วยที่ยอมรับเขตอำนาจศาลไว้ล่วงหน้า แต่ก็มักตั้งเงื่อนไขไม่ยอมรับเขตอำนาจให้ศาลโลกพิจารณาในประเด็นอ่อนไหว เช่น เรื่องเขตแดน ในกรณีกัมพูชาก็ยังตั้งเงื่อนไขไม่ยอมรับเขตอำนาจของศาลโลกในกรณีที่กัมพูชาเห็นว่าสามารถใช้เวทีอื่นระงับข้อพิพาทได้ หรือเป็นเรื่องที่อยู่ภายใต้อำนาจอธิปไตยของตน ซึ่งแสดงให้เห็นว่ากัมพูชาเองก็ไม่ได้เปิดทางให้ศาลโลกพิจารณาคดีได้ในทุกกรณี

ผศ.ดร.ภาวัฒน์ กล่าวเสริมว่า แม้ว่ากัมพูชาจะยื่นคำร้องกล่าวหาประเทศไทยต่อศาลโลก แต่ศาลจะยังไม่รับเรื่องหรือดำเนินการใด ๆ จนกว่าประเทศไทยจะยินยอมรับเขตอำนาจของศาล ตามหลักกฎหมาย Forum rorogatum สิ่งที่รัฐบาลไทยต้องระวังคือ ท่าทีและคำพูดของรัฐบาลและเจ้าหน้าที่รัฐ เพราะจากแนวคำพิพากษา ศาลจะพิจารณาอย่างละเอียดว่ารัฐที่ถูกร้องแสดงพฤติกรรมใดที่อาจตีความได้ว่าเป็นการยอมรับเขตอำนาจของศาลอย่างชัดเจน (unequivocal) และโดยสมัครใจ (voluntary) จนไม่สามารถปฏิเสธได้ (indisputable) หรือไม่

ผศ.ดร.ดร.ปภาวดี ธโนดมเดช กล่าวถึงคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหารและแผนที่ 1:200,000 มีผลผูกพันประเทศไทยในเรื่องเขตแดนเพียงใดว่า คำพิพากษาตีความคดีปราสาทพระวิหาร ปี พ.ศ. 2556 ไม่ได้เป็นพื้นฐานทางกฎหมายที่ทำให้ศาลโลกมีเขตอำนาจพิจารณาข้อพิพาทปัจจุบัน เนื่องจากข้อพิพาทในปัจจุบันเป็นคนละพื้นที่กับคดีเดิม และไม่มีความเกี่ยวเนื่องกัน โดยศาลโลกได้ตีความคำตัดสินคดีปราสาทพระวิหารปี พ.ศ. 2505 อย่างจำกัด เฉพาะประเด็นอำนาจอธิปไตยเหนือบริเวณปราสาทพระวิหาร (region of the Temple) เท่านั้น ไม่ใช่การกำหนดเขตแดน และไม่ได้ให้ผลผูกพันทางกฎหมายต่อแผนที่ภาคผนวก 1 (แผนที่ 1:200,000) ในฐานะเส้นเขตแดนระหว่างประเทศไทยกับกัมพูชา แม้กัมพูชาจะพยายามอ้างว่าแผนที่ดังกล่าวเป็นเหตุผลสำคัญของคำตัดสินเดิม แต่ตามข้อ 60 ธรรมนูญศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ และแนวคำพิพากษาในคดี Request for Interpretation of the Judgment of 11 June 1998 in the Case concerning the Land and Maritime Boundary between Cameroon and Nigeria (Cameroon v. Nigeria) ศาลโลกได้วินิจฉัยว่า เฉพาะส่วนคำตัดสิน (operative part) ที่ผูกพันคู่ความ และเหตุผลประกอบที่ไม่สามารถแยกออกจากคำตัดสินได้ (inseparable) เท่านั้นจึงจะผูกพันคู่ความ ซึ่งในคดีนี้ ศาลโลกเห็นว่าแผนที่ 1:200,000 ไม่ใช่องค์ประกอบที่ไม่สามารถแยกออกจากคำตัดสิน จึงไม่มีผลผูกพันประเทศไทยในข้อพิพาทปัจจุบัน

อ.อินทัช ศิริวัลลภ อธิบายถึงกลไก JBC สามารถใช้ในการระงับข้อพิพาทเรื่องเขตแดนได้อย่างไร ว่าโดยหลักการแล้ว การเข้าสู่กระบวนการระงับข้อพิพาทระหว่างรัฐต้องอาศัยความยินยอมของรัฐคู่กรณี โดยที่การระงับข้อพิพาทโดยสันติวิธีดังกล่าวมีหลากหลายวิธีการ ดังเช่นที่ข้อ 33(1) แห่งกฎบัตรสหประชาชาติ กำหนดไว้ ซึ่งไม่จำกัดแต่เพียงศาลโลกเท่านั้น คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) ภายใต้กรอบบันทึกความเข้าใจระหว่างประเทศไทยกับกัมพูชา ว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก พ.ศ. 2543 (MOU 2000) ซึ่งได้ดำเนินการมาอยู่แล้ว ถือได้ว่าเป็นรูปแบบของการระงับข้อพิพาทโดยวิธีการเจรจาหารือและดำเนินการปักปันเขตแดนร่วมกัน ซึ่งเป็นรูปแบบที่หลาย ๆ ประเทศใช้กัน ในการนี้ การดำเนินการตาม MOU 2000 มีลักษณะเป็นการปักปันเขตแดน (demarcation) ซึ่งเป็นการนำเอาแนวเขตแดนที่กำหนดไว้แล้ว (delimitation) ตามสนธิสัญญาระหว่างสยามกับฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1904 และ 1907 มาดำเนินการจัดสร้างหลักเขตแดนบนภูมิประเทศ และสามารถแบ่งกระบวนการปักปันเขตแดนดังกล่าวออกเป็นขั้นตอนต่าง ๆ ตามแผน แม่บทและข้อกำหนดอำนาจหน้าที่ฯ พ.ศ. 2546 (TOR 2003) ทั้งนี้ การที่ประเทศไทยไม่ยอมรับเขตอำนาจศาลโลก จึงไม่ได้หมายความว่าประเทศไทยปิดโอกาสในการระงับข้อพิพาทเกี่ยวกับเขตแดนทางบกระหว่างประเทศไทยกับกัมพูชาแต่อย่างใด ในทางกลับกัน การยืนยันแนวทางการดำเนินการปักปันเขตแดนดังกล่าว โดยอาศัยกลไก JBC ภายใต้กรอบ MOU 2000 ซึ่งกำหนดหลักการ วิธีการ และขั้นตอนต่าง ๆ แสดงให้เห็นเจตนารมณ์โดยสุจริตในการระงับข้อพิพาทดังกล่าวโดยกลไกที่ทั้งประเทศไทยและกัมพูชาได้ “ยินยอม” ตกลงร่วมกันใน MOU 2000 มาอยู่ก่อนแล้ว

จุฬาฯ สนับสนุนให้อาจารย์ทำงานวิจัย นับว่าเป็นสิ่งที่ดีมากต่อทั้งอาจารย์ นิสิต รวมถึงภาคประชาสังคม

รองศาสตราจารย์ ดร.สุชนา ชวนิชย์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ไอคอน PDPA

เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีให้กับท่าน และเพื่อพัฒนาคุณภาพการให้บริการเว็บไซต์ที่ตรงต่อความต้องการของท่านมากยิ่งขึ้น ท่านสามารถทราบรายละเอียดเกี่ยวกับคุกกี้ได้ที่ นโยบายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และท่านสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

ท่านสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

อนุญาตทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้ที่มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้ท่านสามารถใช้เว็บไซต์ได้อย่างเป็นปกติ ท่านไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลพฤติกรรมการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน โดยมีจุดประสงค์คือนำข้อมูลมาวิเคราะห์เพื่อปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ให้มีคุณภาพ และสร้างประสบการณ์ที่ดีกับผู้ใช้งาน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด หากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราอาจไม่สามารถวัดผลเพื่อการปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ให้ดีขึ้นได้
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า