ข่าวสารจุฬาฯ

คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาฯ ร่วมกับราชบัณฑิตยสภาจัดปาฐกถาและเสวนา “จริยธรรมและธรรมาภิบาลเพื่อความยั่งยืนในสังคมไทย”

คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และสำนักธรรมศาสตร์และการเมือง ราชบัณฑิตยสภา จัดการปาฐกถาพิเศษเรื่อง “จริยธรรมและธรรมาภิบาลเพื่อความยั่งยืนในสังคมไทย” เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 30 ตุลาคม 2568 ณ CBS Cinema ชั้น 3 อาคารไชยยศสมบัติ 1 คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาฯ เพื่อส่งเสริมความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับจริยธรรมและธรรมาภิบาลในบริบทสังคมไทยยุคใหม่ ตลอดจนแลกเปลี่ยนประสบการณ์และข้อเสนอเชิงนโยบายจากผู้ทรงคุณวุฒิและผู้เชี่ยวชาญในภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งจากภาครัฐ ภาคการศึกษา และภาคธุรกิจเอกชน

พิธีเปิดงานได้รับเกียรติจาก ศ. (พิเศษ) ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย นายกสภาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นประธานกล่าวเปิดงาน รศ.ดร.ธารทัศน์ โมกขมรรคกุล คณบดีคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาฯ กล่าวต้อนรับ ศ.ดร.วรเดช จันทรศร ประธานสำนักธรรมศาสตร์ และการเมือง ราชบัณฑิตยสภา กล่าวถึงวัตถุประสงค์ของการจัดงาน

จากนั้นเป็นการปาฐกถาพิเศษโดยผู้ทรงคุณวุฒิในหัวข้อต่าง ๆ ที่น่าสนใจ ได้แก่ “วัฒนธรรมของพลเมืองไทยในสังคมยุคใหม่” โดย ศ.เกียรติคุณ นพ.สุรพล อิสรไกรศีล นายกราชบัณฑิตยสภา การปาฐกถาเรื่อง “จริยธรรมและธรรมาภิบาลในการบริหารประเทศ : อดีต ปัจจุบัน และอนาคต” โดย ศ. (พิเศษ) นรนิติ เศรษฐบุตร ราชบัณฑิต สำนักธรรมศาสตร์และการเมือง ราชบัณฑิตยสภา และ “บทบาทและหน้าที่ของมหาวิทยาลัยในการสร้างคุณธรรมและจริยธรรมให้แก่เยาวชนของชาติ” โดย ศ.ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดีจุฬาฯ ดำเนินรายการโดย รศ.ดร.คณิสร์ แสงโชติ รองคณบดีฝ่ายวิจัย คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาฯ

ปิดท้ายด้วยการเสวนาในหัวข้อ “การส่งเสริมให้องค์การมีจริยธรรมและธรรมาภิบาลเพื่อความยั่งยืน” โดย ศ.ดร.วรเดช จันทรศร ประธานสำนักธรรมศาสตร์ และการเมือง ราชบัณฑิตยสภา คุณถนอมวงศ์ แต้ไพสิฐพงษ์ กรรมการบริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) รศ.ดร.ธารทัศน์ โมกขมรรคกุล คณบดีคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาฯ ศ.กิตติคุณ ดร.กุณฑลี รื่นรมย์ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาฯ ภาคีสมาชิกสำนักธรรมศาสตร์และการเมือง ราชบัณฑิตยสภา

ศ.เกียรติคุณ นพ.สุรพล อิสรไกรศีล นายกราชบัณฑิตยสภา กล่าวถึงบทเรียนจากประวัติศาสตร์และตัวอย่างจากต่างประเทศ เช่น ญี่ปุ่นและเยอรมนี ซึ่งประสบความสำเร็จจากการปลูกฝังวินัยและจิตสาธารณะ จึงเสนอว่าประเทศไทยควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณธรรมของประชาชนควบคู่กับระบบการปกครอง เพื่อให้ประชาธิปไตยไทยก้าวหน้าอย่างแท้จริง พร้อมชี้ว่าคนกับระบบต้องพัฒนาไปด้วยกัน โดยการสร้างพลเมืองที่มีสำนึกความดี ความรับผิดชอบ และจิตใจเพื่อส่วนรวม ซึ่งหากต้องการเปลี่ยนประเทศ ต้องเริ่มจากการเปลี่ยนจิตสำนึกของประชาชนก่อน โดยเสนอแนวทางขับเคลื่อนวัฒนธรรมพลเมืองใน 3 ระยะ ได้แก่

  • ระยะเร่งด่วน สร้างกระแสสังคม ส่งเสริมต้นแบบความดีในภาครัฐ เอกชน และเยาวชน
  • ระยะกลาง บรรจุหลักสูตรวัฒนธรรมพลเมืองในทุกระดับการศึกษา ปรับระบบคุณธรรมในราชการ และส่งเสริมธรรมาภิบาลในท้องถิ่น
  • ระยะยาว พัฒนาดีเอ็นเอคนไทยให้มีทั้งความเก่งและความดี ปลูกฝังคุณธรรมตั้งแต่ครอบครัวจนถึงชุมชน
    “การเปลี่ยนแปลงประเทศไม่จำเป็นต้องพึ่งเพียงกฎหมายหรือองค์กรตรวจสอบ หากทุกคนเริ่มจากการเป็นคนดี มีวัฒนธรรมพลเมือง ประเทศไทยจะเป็นสังคมที่สงบสุขและยั่งยืนด้วยใจของประชาชนเอง” ศ.เกียรติคุณ นพ.สุรพล กล่าวทิ้งท้าย

ศ. (พิเศษ) นรนิติ เศรษฐบุตร ราชบัณฑิต สำนักธรรมศาสตร์และการเมือง ราชบัณฑิตยสภา กล่าวว่า “ในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ พระมหากษัตริย์ทรงยึดมั่นในทศพิธราชธรรม 10 ประการ และจักรวรรดิวัตร 12 ประการในการปกครอง เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง รัฐธรรมนูญเป็นผลผลิตใหม่ ผู้ปกครองได้อำนาจจากประชาชนผ่านการเลือกตั้ง อำนาจสูงสุดจึงเป็นของปวงชนชาวไทย การนำคำว่าจริยธรรมเข้ามาบรรจุในรัฐธรรมนูญเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ปี 2540 ในมาตรา 77 เพื่อเตือนสติผู้มีอำนาจ นอกจากนี้ รัฐธรรมนูญปี 2540 ยังได้ริเริ่มให้มีองค์กรอิสระ ขึ้นมาเพื่อคานอำนาจรัฐบาล”
“ปัจจุบันบทบาทของรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 ได้เขียนกำหนดเกี่ยวกับจริยธรรมไว้หลายแห่ง โดยเฉพาะมาตรา 160 วรรค 5 ซึ่งระบุว่ารัฐมนตรีต้องไม่มีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง มาตรานี้เป็นมาตราสำคัญที่ถูกใช้ในการลงโทษทางการเมืองในช่วงปีที่ผ่านมา ในอนาคตหากมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะต้องคงไว้ซึ่งเรื่องจริยธรรม เนื่องจากรัฐธรรมนูญเปรียบเสมือนคัมภีร์แผ่นดินใหม่ที่กำหนดอำนาจและวิธีการจัดการกับผู้มีอำนาจภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง และหากผู้มีอำนาจจะแก้ไขเอาบทบัญญัติเรื่องจริยธรรมออกไปย่อมเป็นเรื่องยากมาก” ศ. (พิเศษ) นรนิติ กล่าว

ศ.ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดีจุฬาฯ ในฐานะประธานที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) ปาฐกถาเรื่อง “บทบาทและหน้าที่ของมหาวิทยาลัยในการสร้างคุณธรรมและจริยธรรมให้แก่เยาวชนของชาติ” โดยกล่าวถึงเยาวชนกับจริยธรรมว่าเป็นคำถามที่เกิดขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา หลักจริยธรรมตามความหมายของราชบัณฑิตยสถานหมายถึงการศึกษาว่าการกระทำอย่างไรถือว่าเป็นความประพฤติที่ถูกหรือผิด จริยธรรมคือความประพฤติที่ดีงาม ความประพฤติอันพึงปฏิบัติต่อตนเอง ต่อผู้อื่น และต่อสังคม เพื่อให้เกิดความดีงามความถูกต้องและนำไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง จุฬาฯ มีจริยธรรมสำหรับนิสิต ได้แก่ การตั้งใจพัฒนาตนเอง ให้เกียรติคณาจารย์ ผู้ปฏิบัติงานในมหาวิทยาลัย ปฏิบัติตนต่อผู้อื่นอย่างเป็นกัลยาณมิตร มีระเบียบวินัย ไม่ประพฤติตนอันเป็นเหตุให้เกิดความเสื่อมเสีย
อธิการบดีจุฬาฯ กล่าวต่อไปว่าวิสัยทัศน์ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยให้ความสำคัญในเรื่อง philanthropic spirit (การมีจิตใจแห่งการเป็นผู้ให้) บทบาทของมหาวิทยาลัยไม่เพียงให้การศึกษาเท่านั้น แต่มีบทบาทในการเปลี่ยนชีวิต การให้การศึกษาและผลิตบัณฑิตโดยไม่ครอบคลุมในเรื่องจริยธรรมคือการสร้างอาชญากรทางสังคม การนึกถึงผู้อื่นให้มากขึ้น ความรักความห่วงใยเป็นบ่อเกิดของจริยธรรม ทุกวันนี้เราใช้ชีวิตส่วนใหญ่โดยใช้ออนไลน์ ดังนั้นเรื่อง Digital Ethics หรือจริยธรรมในโลกดิจิทัลจึงเข้ามาเกี่ยวข้องกับชีวิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้พัฒนา AI ซึ่งมีชื่อว่า ChulaGENIE ซึ่งแตกต่างจาก ChatGPT คนที่สร้างเทคโนโลยีและแอปพลิเคชันต้องมี Ethical Mind ซึ่งจะทำให้เกิด Digital Ethics

ศ.ดร.วิเลิศกล่าวเพิ่มเติมว่าจุฬาฯ มุ่งเน้นการยกย่องเชิดชูทางด้านจริยธรรม ส่งเสริมให้คนทำความดี นอกจากจริยธรรมสำหรับนิสิตแล้ว จุฬาฯ ยังให้ความสำคัญกับจริยธรรมสำหรับคณาจารย์อีกด้วย ได้แก่ การรับผิดชอบต่อการสอนและการเรียนรู้ ปฏิบัติต่อนิสิตด้วยความเป็นธรรมและเมตตา และแสดงความคิดเห็นทางวิชาการด้วยความซื่อสัตย์ โดยมีกิจกรรมการพัฒนาคณาจารย์อย่างต่อเนื่อง
“ความรักความห่วงใยเป็นพื้นฐานของการสร้างจริยธรรม ในช่วงเวลาที่ผ่านมา จุฬาฯ ได้อุทิศพื้นที่สยามสแควร์ด้วยการปิดถนนให้คนพิการและเกษตรกรได้ขายของฟรี ผู้ใช้แรงงานได้ตรวจสุขภาพฟรีและได้รับความรู้ทางด้านภาษา
เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGs) ทั้ง 17 ข้อ เมื่อเวลาผ่านไป สิ่งที่เหลืออยู่ในอนาคตคือความยั่งยืนทางจริยธรรม การสร้าง SDGs เป็นความร่วมมือระหว่างคณะและหน่วยงานต่าง ๆ ต้องเกิดจากคุณธรรมและจริยธรรมที่เกิดขึ้นจากใจ เป็นความรักที่มีต่อผู้คนและการทำงานเพื่อประชาชน สิ่งที่อยากให้เกิดขึ้นในจุฬาฯ คือ SDGs ข้อ 18 คือ philanthropic spirit
ในส่วนของ 10 ทักษะจำเป็นแห่งอนาคต (Future of Jobs 2025) ซึ่งจุฬาฯ เป็นตัวแทนหนึ่งเดียวในประเทศไทยร่วมกับ World Economic Forum ในการเสนอแนวทางเพื่อรับมือการเปลี่ยนแปลงของตลาดแรงงานในอนาคต ทักษะที่สำคัญที่สุดคือทักษะข้อ 7 Empathy and active listening (การเห็นอกเห็นใจผู้อื่น) ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งนี้ทักษะที่ต้องการสำหรับเยาวชนในวันนี้คือ Emotional Intelligence หรือความฉลาดทางปัญญา

จุฬาฯ สนับสนุนให้อาจารย์ทำงานวิจัย นับว่าเป็นสิ่งที่ดีมากต่อทั้งอาจารย์ นิสิต รวมถึงภาคประชาสังคม

รองศาสตราจารย์ ดร.สุชนา ชวนิชย์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ไอคอน PDPA

เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีให้กับท่าน และเพื่อพัฒนาคุณภาพการให้บริการเว็บไซต์ที่ตรงต่อความต้องการของท่านมากยิ่งขึ้น ท่านสามารถทราบรายละเอียดเกี่ยวกับคุกกี้ได้ที่ นโยบายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และท่านสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

ท่านสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

อนุญาตทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้ที่มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้ท่านสามารถใช้เว็บไซต์ได้อย่างเป็นปกติ ท่านไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลพฤติกรรมการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน โดยมีจุดประสงค์คือนำข้อมูลมาวิเคราะห์เพื่อปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ให้มีคุณภาพ และสร้างประสบการณ์ที่ดีกับผู้ใช้งาน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด หากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราอาจไม่สามารถวัดผลเพื่อการปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ให้ดีขึ้นได้
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า