รู้จักจุฬาฯ
การบริหาร
อัตลักษณ์มหาวิทยาลัย
Green University
Sustainability
ติดต่อจุฬาฯ
บริจาคให้จุฬาฯ
หลักสูตร
การสมัครเข้าศึกษา
หน่วยงานการศึกษา
บริการนิสิต
บริการวิชาการ
บริการทางการแพทย์
บริการตรวจวิเคราะห์คุณภาพ
สารสนเทศและการสื่อสาร
พื้นที่สร้างสรรค์
ข่าวสารและความเคลื่อนไหว
วารสารจุฬาฯ
สาระความรู้
Highlights
9 ธันวาคม 2568
ผู้เขียน ญาดา หริรักษาพิทักษ์
จุฬาฯ มุ่งสู่คาร์บอนเป็นศูนย์ หนุนองค์ความรู้ด้านพลังงานนิวเคลียร์และเทคโนโลยี Small Modular Reactor (SMR) โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็กที่ปลอดภัยกว่าและไม่ปล่อยคาร์บอน เตรียมบุคลากรพร้อมขับเคลื่อนประเทศสู่ความมั่นคงทางพลังงานและยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจในอนาคต
หลายประเทศทั่วโลกกำลังเร่งก้าวเข้าสู่เป้าหมายคาร์บอนเป็นศูนย์ ควบคู่ไปกับการสร้างความมั่นคงทางพลังงาน – แสงอาทิตย์ ลม น้ำ เป็นแหล่งพลังงานสะอาดที่ได้รับความสนใจและมีการพัฒนาเทคโนโลยีให้ทันสมัยอย่างต่อเนื่อง และที่ขาดไม่ได้เมื่อเอ่ยถึงพลังงานสะอาดประสิทธิภาพสูงที่ไม่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกก็คือพลังงานนิวเคลียร์
ทุกวันนี้ เทรนด์ด้านพลังงานนิวเคลียร์ของโลกมุ่งไปที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็กหรือ SMR (Small Modular Reactor) ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยขึ้น ปลอดภัยกว่าเดิม และมีความยืดหยุ่นในการติดตั้ง ปัจจุบัน ในโลกมีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็กแล้ว 2 แห่ง ในประเทศจีนและรัสเซีย แต่ในอีกราว 5 ปีข้างหน้าจะมีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็กเพิ่มขึ้นในหลายประเทศ อาทิ จีน รัสเซีย แคนาดา อเมริกา
สำหรับประเทศไทย ร่างแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย (Power Development Plan: PDP) ฉบับล่าสุดปี 2024 ก็ได้กล่าวถึงการพิจารณาโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็กให้เป็นทางเลือกในอนาคต ซึ่งประเทศไทยก็มีความพร้อมและมีการเตรียมบุคลากร องค์ความรู้ด้านนิวเคลียร์มาตลอดหลายทศวรรษโดยภาควิชาวิศวกรรมนิวเคลียร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สถาบันเดียวในประเทศไทยที่มีการเรียนการสอนทางด้านวิศวกรรมนิวเคลียร์
พลังงานนิวเคลียร์ไม่ใช่เรื่องใหม่ของสังคมไทย หากแต่เป็นเรื่องที่มีการเตรียมความพร้อมมายาวนานกว่าครึ่งศตวรรษ รองศาสตราจารย์นเรศร์ จันทน์ขาว อาจารย์ภาควิชาวิศวกรรมนิวเคลียร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เล่าว่าประเทศไทยเริ่มพูดถึงพลังงานนิวเคลียร์มาตั้งแต่ปี 2509 และในปี 2510 ก็มีคำสั่งตั้งคณะอนุกรรมการ 10 ท่านเพื่อศึกษาความเหมาะสมในด้านต่าง ๆ รวมถึงการฝึกอบรมบุคลากร”
“การเตรียมความพร้อมเรื่องพลังงานนิวเคลียร์ยุคแรกเป็นไปอย่างจริงจัง มีการสำรวจพื้นที่หลายแห่ง จนได้ข้อสรุปให้ใช้พื้นที่อ่าวไผ่ อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี เป็นที่ตั้งโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แห่งแรกของไทย โดยได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการพลังงานปรมาณูเพื่อสันติที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานในขณะนั้น”
โครงการดังกล่าวนับได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการก่อตั้งภาควิชาวิศวกรรมนิวเคลียร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ด้วยเช่นกัน
“ในปี 2513 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเปิดโรงเรียนวิศวกรรมนิวเคลียร์ (Nuclear Engineering School) โดยเริ่มจากการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่จากสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติเป็นหลัก และต่อมาในปี 2514 ได้มีศาสตราจารย์จากสหรัฐอเมริกามาช่วยเขียนหลักสูตร จนในปี 2515 ได้เปิดหลักสูตรประกาศนียบัตรชั้นสูง (Graduate Diploma) และวิศวกรรมศาสตรมหาบัณฑิตสาขาเทคโนโลยีนิวเคลียร์ ซึ่งในช่วงแรกยังไม่มีภาควิชา ท่านคณบดีเอาไปฝากไว้กับภาควิชาวิศวกรรมสุขาภิบาล หรือที่เรียกกันในปัจจุบันว่าวิศวกรรมสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน จนกระทั่งปี 2517 จึงได้จัดตั้งเป็นภาควิชานิวเคลียร์เทคโนโลยีโดยเฉพาะ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการศึกษาด้านวิศวกรรมนิวเคลียร์ในประเทศไทย โดยต่อมาได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น วิศวกรรมนิวเคลียร์ เพื่อให้กลมกลืนกับภาควิชาอื่น ๆ ในคณะวิศวกรรมศาสตร์” รศ.นเรศร์ กล่าว
ตลอดระยะเวลา 50 ปี ภาควิชาวิศวกรรมนิวเคลียร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ มีบทบาทสำคัญในการผลิตบุคลากรและพัฒนาองค์ความรู้ในเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง แม้ในช่วงที่โครงการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ต้องหยุดชะงัก
“ปัจจัยสำคัญที่ทำให้โครงการต้องชะลอตัวครั้งแรกคือการค้นพบแหล่งก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยราวปี 2520 มีการคาดการณ์ว่าแหล่งก๊าซธรรมชาติที่พบ จะใช้ได้อย่างน้อย 40 ปี ซึ่งจนถึงปัจจุบันก็เกือบ 50 ปีแล้วยังใช้แหล่งพลังงานนี้ได้อยู่ ดังนั้น รัฐบาลจึงตัดสินใจชะลอโครงการไฟฟ้านิวเคลียร์ไปก่อน การพูดถึงโครงการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์จะกลับมาเป็นระยะ ๆ ในช่วงที่เกิดวิกฤตด้านพลังงาน”
นอกจากการมีแหล่งก๊าซธรรมชาติแล้ว อุปสรรคสำคัญอีกประการของโครงการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์คือความเข้าใจและการยอมรับของประชาชน ยิ่งเมื่อมีข่าวอุบัติภัยที่เกิดขึ้นกับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นเหตุเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เชอร์โนบิล ที่ยูเครน ระเบิดในปี 2529 และล่าสุดในปี 2554 เหตุการณ์ภัยพิบัติที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะไดอิจิ อันเป็นผลมาจากเหตุการณ์คลื่นสึนามิ ผู้คนก็ยิ่งเกิดความหวาดกลัว ความไม่มั่นใจ จนนำไปสู่กระแสการต่อต้านและคัดค้านการสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่เพิ่มสูงขึ้น
“ทุกครั้งที่กำลังจะเริ่มโครงการ ก็มีเหตุการณ์ที่ทำให้นิวเคลียร์ดูแย่ ไม่ว่าจะเป็นเชอร์โนบิลหรือฟุกุชิมะ ทำให้คนกลัวและโครงการต้องหยุดชะงัก” รศ.นเรศร์ กล่าวพร้อมยกตัวอย่างกระแสการวิพากษ์วิจารณ์อุโมงค์จุฬาฯ ที่ปัจจุบันใช้งานมากว่า 40 ปีแล้ว “ในตอนที่สร้างอุโมงค์ ก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่าอันตราย น้ำจะท่วม ถนนจะยุบ คืออะไรก็ตามที่เป็นเรื่องใหม่ คนไม่คุ้น ไม่เข้าใจ ก็จะกลัวเป็นธรรมดา สิ่งที่เราต้องทำคือสื่อสารให้ประชาชนเข้าใจเรื่องพลังงานนิวเคลียร์อย่างถูกต้องมากที่สุด”
ความพยายามของหลายประเทศทั่วโลกในการบรรลุเป้าหมาย Net Zero ทำให้พลังงานนิวเคลียร์กลับมาได้รับความสนใจ แต่คราวนี้ไม่ใช่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดใหญ่ เช่นที่เคยเกิดภัยพิบัติและเป็นข่าว หากแต่ความหวังใหม่ของวงการพลังงานทั่วโลกอยู่ที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก หรือ SMR (Small Modular Reactor)
“SMR คือโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แบบทันสมัยที่มีกำลังการผลิตไฟฟ้าไม่เกิน 300 เมกะวัตต์ ซึ่งเล็กกว่าโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แบบดั้งเดิมที่มีกำลังผลิตไฟฟ้าประมาณ 1,000 เมกะวัตต์” รองศาสตราจารย์ ดร.สมบูรณ์ รัศมี หัวหน้าภาควิชาวิศวกรรมนิวเคลียร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ อธิบาย
ปัจจุบัน มีโรงไฟฟ้า SMR ที่ใช้งานจริงแล้วเพียง 2 แห่งในโลก แห่งแรกคือที่ประเทศรัสเซีย ซึ่งติดตั้งบนเรือ ขนาดกำลังผลิตไฟฟ้า 2×35 เมกะวัตต์ ซึ่งเดินเครื่องใช้งานตั้งแต่ ปี ค.ศ. 2020 และอีกแห่งหนึ่งคือที่ประเทศจีน ซึ่งมีกำลังผลิตไฟฟ้าประมาณ 210 เมกะวัตต์ และจ่ายไฟให้กับประชาชนมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2021
“ตอนนี้มีโครงการโรงไฟฟ้า SMR อีกหลายแห่งที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง อย่างที่จีนกำลังก่อสร้างอีก 1 ยูนิต คาดว่าจะแล้วเสร็จปลายปีหน้า ส่วนแคนาดากำลังเริ่มก่อสร้างแล้วจำนวน 4 ยูนิต และสหรัฐอเมริกากำลังเตรียมพื้นที่ก่อสร้างอีกหลายแห่ง” รศ.ดร.สมบูรณ์ คาดว่าภายในปลายปี 2573 จะมี SMR เกิดขึ้นอีกหลายสิบแห่งทั่วโลก
สำหรับประเทศไทย หลังจากที่ได้ลงนามในเอกสาร NDC 3.0 (Nationally Determined Contribution) ซึ่งเป็นคำมั่นสัญญาในการลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เพื่อบรรลุเป้าหมายการเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2593 และปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ภายในปี 2608 โครงการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ก็กลับเข้ามาอยู่ในวงสนทนาของแผนพัฒนาชาติอย่างมากอีกครั้ง
ในแผนแม่บทเกี่ยวกับความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ – ร่างแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย (Power Development Plan: PDP) ฉบับล่าสุดปี 2024 โดยสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ได้มีการกล่าวถึงการพิจารณาโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก (Small Modular Reactor – SMR) ให้เป็นทางเลือกในอนาคต โดยบรรจุโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แบบ SMR ไว้ 2 หน่วย แห่งละประมาณ 300 เมกะวัตต์ไฟฟ้า ที่ภาคอีสานและภาคใต้ ซึ่งคาดว่าจะเริ่มใช้งานได้ภายในปี 2580
“ด้วยแรงกดดันของประชาคมโลกเรื่องคาร์บอน ทำให้ไทยมีทางเลือกไม่มาก ในอนาคตทุกคนจะถูกจับตามองว่าใช้ไฟจากแหล่งไหน ถ้ายังปล่อยคาร์บอนอยู่ ก็จะโดนคิดภาษีคาร์บอนเพิ่มเติม” รศ. ดร.สมบูรณ์ กล่าว “การใช้พลังงานทดแทนอย่างเดียวอาจยังไม่เพียงพอ และมีความเสี่ยงเรื่องความมั่นคงทางไฟฟ้าของประเทศ พลังงานจากลมหรือแสงแดดมีข้อจำกัดเรื่องความต่อเนื่อง การใช้แบตเตอรี่สำรองก็จะเพิ่มต้นทุน แก๊สธรรมชาติหรือถ่านหินก็ยังปล่อยคาร์บอนในจำนวนมาก ทำให้วันนี้ไทยต้องหันมาใช้พลังงานทางเลือกอื่นที่คุมเรื่องความปลอดภัยได้และไม่ปล่อยคาร์บอน”
รศ.ดร.สมบูรณ์ กล่าวว่าโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็กมีข้อได้เปรียบหลายประการ ข้อแรกคือเรื่องความยืดหยุ่น (Flexibility)
“ถ้าสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดใหญ่ เราจะต้องมั่นใจว่าในพื้นที่นั้นมีการใช้ไฟฟ้าในปริมาณมากเพียงพอ แต่ SMR สามารถไปลงในชุมชนขนาดกลาง เกาะ หรือนิคมอุตสาหกรรมได้ ที่สำคัญ SMR ยังสามารถเพิ่มหน่วยการผลิตได้ตามความต้องการที่เพิ่มขึ้น ยกตัวอย่างเช่น เริ่มต้นด้วย 100 เมกะวัตต์ในช่วง 5 ปีแรก พอมีความต้องการเพิ่มขึ้นก็สามารถเพิ่มอีก 200 เมกะวัตต์ได้ ซึ่งมีความยืดหยุ่นและตอบโจทย์การเติบโตทางเศรษฐกิจได้ดีกว่าโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ที่ต้องลงทุนครั้งเดียวจำนวนมาก”
ข้อได้เปรียบที่สำคัญที่สุดของ SMR คือระบบความปลอดภัยที่พัฒนาขึ้นใหม่ รศ.ดร.สมบูรณ์ อธิบายว่า SMR เกือบทุกแบบมีระบบความปลอดภัยที่สามารถพึ่งพาตัวเองได้โดยไม่ต้องอาศัยแหล่งจ่ายไฟภายนอก แม้กระทั่งเมื่อเกิดภัยพิบัติ หรือเหตุฉุกเฉินขึ้น โรงไฟฟ้าจะหยุดทำงาน ระบบความปลอดภัยของ SMR จะสามารถทำงานได้ด้วยตัวเอง ทำให้เครื่องปฏิกรณ์ดับลงอย่างปลอดภัย ซึ่งการระบายความร้อนระหว่างเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินของ SMR ก็ใช้หลักการที่ลดความซับซ้อนและพึ่งพาตนเองได้มากยิ่งขึ้น โดยอาศัยการระบายความร้อนแบบธรรมชาติ เช่นระบบหมุนเวียนของของไหล หรือหลักการแรงโน้มถ่วง โดยไม่ต้องใช้สารหล่อเย็นหรือน้ำในปริมาณมากเหมือนโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่เพื่อทำให้โรงไฟฟ้าดับเครื่องโดยปลอดภัย ทำให้ลดความเสี่ยงที่จะทำให้แกนเครื่องปฎิกรณ์นิวเคลียร์หลอมเหลวและมีสารกัมมันตภาพรังสีรั่วไหลออกสู่สิ่งแวดล้อม เหมือนในกรณีเหตุการณ์อุบัติเหตุทางนิวเคลียร์ที่โรงไฟฟ้าฟุกุชิม่า ประเทศญี่ปุ่น เมื่อปี ค.ศ. 2011
รศ.ดร.สมบูรณ์ สรุปจุดเด่นของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็กไว้ 3 ประเด็นหลัก ได้แก่
1. ความปลอดภัย (Safety) โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่เกิดอุบัติเหตุทั้ง 3 ครั้งในโลก เป็นโรงที่สร้างตั้งแต่ยุค 70 ซึ่งผ่านไปแล้วกว่า 50 ปี เทคโนโลยีได้พัฒนาไปมาก SMR มีระบบความปลอดภัยแบบพาสซีฟ (Passive Safety System) ที่ทำงานโดยอัตโนมัติโดยไม่ต้องพึ่งพาไฟฟ้าจากภายนอก แม้เกิดภัยพิบัติและระบบไฟฟ้าขัดข้อง เครื่องปฏิกรณ์ก็สามารถดับลงอย่างปลอดภัยด้วยตัวเอง นอกจากนี้ ขนาดที่เล็กลงยังทำให้ควบคุมและจัดการได้ง่ายกว่า
2. ปัจจัยทางเศรษฐศาสตร์ (Economics) การลงทุนครั้งแรกของ SMR ต่ำกว่าโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ และมีความยืดหยุ่นสูง สามารถติดตั้งในพื้นที่ห่างไกล เกาะ หรือนิคมอุตสาหกรรมที่โรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ไปไม่ถึง นอกจากนี้ยังสามารถเพิ่มหน่วยการผลิตได้ตามความต้องการ ไม่ต้องลงทุนครั้งเดียวจำนวนมหาศาล
3. สิ่งแวดล้อม (Environment) SMR ไม่ปลดปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ในปริมาณที่มีนัยสำคัญตลอดอายุการทำงานของโรงไฟฟ้า ช่วยให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมาย Net Zero ได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และสามารถเชื่อถือได้มากกว่าพลังงานทดแทนอื่น ๆ
แม้ว่าโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แบบ SMR จะมีขนาดเล็กกว่าโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แบบดั้งเดิม แต่ก็ยังคงมีประเด็นด้านกากกัมมันตภาพรังสีเช่นเดียวกัน ดังนั้นประเทศไทยจำเป็นต้องเตรียมแนวทางการจัดการกากกัมมันตภาพรังสีในอนาคตอย่างเป็นรูปธรรม เหมาะสมตามมาตรฐานสากล และสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับสังคมได้ว่าประเทศมีระบบการเก็บรักษาและกำจัดของเสียจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ SMR ที่ปลอดภัยและตรวจสอบได้
SMR ต้นทุนและความคุ้มค่า
หนึ่งในคำถามที่ประชาชนสนใจมากที่สุดคือ “ถ้ามี SMR แล้วค่าไฟจะถูกลงหรือไม่?”
รศ.ดร.สมบูรณ์ ตอบประเด็นนี้ว่า “SMR ก็เหมือนผลิตภัณฑ์ใหม่ เหมือนเวลาที่มีโทรศัพท์รุ่นใหม่ ๆ ออกมา แน่นอนว่าราคาจะไม่ถูก แต่เมื่อมีคนใช้มากขึ้น ราคาก็ควรจะลดลงตามกลไกตลาด”
ที่สำคัญ รศ.ดร.สมบูรณ์ กล่าวว่าการประเมินความคุ้มค่าไม่ควรมองแค่ราคาเท่านั้น แต่ต้องคำนึงถึงข้อได้เปรียบหลายประการ ได้แก่
“ปัจจุบัน ในโลก มี SMR ที่ใช้งานจริงเพียง 2 แห่ง และอีก 4-5 แห่งกำลังเริ่มทำการก่อสร้าง ประเทศไทยไม่ได้จะใข้งานโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ SMR ในปีนี้หรือปีหน้า ตามแผนคืออีกประมาณ 12 ปีข้างหน้า ซึ่งเมื่อถึงช่วงเวลานั้น คาดการณ์ว่าจะมีการใช้ SMR เพิ่มขึ้นทั่วโลก ซึ่งจะทำให้ราคาจะลดลงและมีความสมเหตุสมผล แข่งขันกับโรงไฟฟ้าประเภทอื่นได้มากขึ้น”
ประเทศเพื่อนบ้านหลายประเทศกำลังเดินหน้าโครงการพลังงานนิวเคลียร์อย่างจริงจัง รศ. ดร.สมบูรณ์ กล่าวว่า เวียดนามมีก้าวหน้าของการดำเนินการโครงการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์มากกว่าประเทศไทย เพราะมีการสนับสนุนจากภาครัฐอย่างแข็งขัน และผู้นำประเทศก็ออกมาสนับสนุนโดยตรง อินโดนีเซียก็เดินหน้าอย่างจริงจังเช่นกัน โดยมีพื้นฐานด้านการวิจัยที่เกี่ยวข้องกับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์มาหลายปี มีการพัฒนาเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ขึ้นเอง และวางแผนว่าปี ค.ศ. 2032 จะมีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แห่งแรก ส่วนฟิลิปปินส์ก็มีแผนสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์รวมถึง SMR ภายในปี ค.ศ.2033-34
“เห็นได้ว่าหลาย ๆ ประเทศในภูมิภาคนี้มีความก้าวหน้าที่เร็วกว่าไทยประมาณ 5 ปี ดังนั้นหากไทยยังตัดสินใจในการเริ่มดำเนินโครงการช้ากว่า ก็จะเสียความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งการแข่งขันนี้ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของเทคโนโลยีเท่านั้น แต่เป็นเรื่องของความสามารถในการดึงดูดการลงทุน ประเทศไหนที่ผลิตพลังงานสะอาดที่ไม่ปล่อยคาร์บอน ประเทศนั้นก็มีโอกาสที่จะเป็นที่สนใจของนักลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจ AI และ Data Center ที่ใช้ไฟฟ้ามหาศาลและต้องการพลังงานสะอาด” รศ.ดร.สมบูรณ์ อธิบาย
การมีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะสำหรับประเทศที่ไม่เคยมีมาก่อน รศ.ดร.สมบูรณ์ อธิบายว่าตามมาตรฐานของทบวงการปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) ประเทศที่ไม่เคยมีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์จะต้องใช้เวลาเตรียมความพร้อมอย่างน้อย 10-12 ปี ซึ่งกระบวนการเตรียมความพร้อมนั้นจำเป็นต้องครอบคลุม 19 ด้าน เช่น 1) บุคลากร – ต้องมีวิศวกรและผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้ความสามารถเพียงพอ 2) กฎหมายและข้อกำหนด – ต้องมีกฎหมายที่เหมาะสมในการควบคุมและกำกับดูแล 3) แผนจัดการ – ต้องมีแผนรองรับกรณีเกิดเหตุฉุกเฉินและแผนจัดการเชื้อเพลิงใช้แล้ว 4) การเงิน – ต้องมีการสนับสนุนทางการเงินจากภาครัฐอย่างชัดเจน
“การมีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่ใช่อยากได้แล้วพรุ่งนี้จะซื้อได้เลย แต่จะต้องโชว์ศักยภาพและได้รับการยอมรับจากนานาชาติ บริษัทผลิตโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ และ หน่วยงานระหว่างประเทศ IAEA ว่าประเทศมีความพร้อมในการดำเนินการโครงการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ SMR ซึ่งภาควิชาวิศวกรรมนิวเคลียร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ มีบทบาทในการเตรียมความพร้อมด้านนิวเคลียร์ด้านการพัฒนากำลังคนให้ประเทศมาโดยตลอด”
“ไม่ว่าจะมีโครงการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์หรือไม่ ภาควิชาก็ยังเปิดสอนและทำวิจัยต่อเนื่อง เพราะถ้าเราปิดภาควิชาหรือหยุดสอนและทำวิจัย ความรู้ความเชี่ยวชาญทางด้านวิศวกรรมนิวเคลียร์ก็จะขาดตอนไป การเริ่มใหม่ไม่ใช่เรื่องง่าย จุฬาฯ เป็นแหล่งผลิต วิศวกร นักวิจัยผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมนิวเคลียร์โดยเฉพาะ และขณะนี้หลาย ๆ มหาวิทยาลัยเริ่มสนใจจะจัดตั้งหลักสูตรทางด้านวิศวกรรมนิวเคลียร์ ซึ่ง จุฬาฯ ก็พร้อมที่จะให้คำแนะนำและพัฒนาในการจัดทำหลักสูตรเพื่อเพิ่มขีดความสามารถของประเทศด้านการพัฒนาบุคลากรด้านโรงไฟฟ้านิวเคลียร์”
ปัจจุบัน ภาควิชาฯ ได้มีส่วนร่วมในการเตรียมความพร้อมของประเทศทางด้านวิศวกรรมนิวเคลียร์ผ่านหลายช่องทาง
ไม่ว่าจะมีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์หรือไม่ เทคโนโลยีนิวเคลียร์และรังสีก็ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันมาตั้งนานแล้ว รศ.นเรศร์ ให้ตัวอย่างที่น่าสนใจ เช่น
ทางการแพทย์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์มีเครื่องโปรตอนซึ่งใช้รังสีในการรักษามะเร็ง โดยสามารถยิงรังสีได้แม่นยำเฉพาะจุด ไม่กระทบต่ออวัยวะอื่น ๆ เหมือนการฉายแสงแบบเก่า
อุตสาหกรรมอาหารและยา มีการฉายรังสีแกมมาใช้ฆ่าเชื้อผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ตั้งแต่ยาดมสมุนไพรที่กำลังได้รับความสนใจ ไปจนถึงแหนม ผลไม้ อาหารสัตว์ที่ส่งออก กระบอกฉีดยา หลอดน้ำเกลือที่ใช้ในโรงพยาบาล ล้วนต้องผ่านการฉายรังสีเพื่อฆ่าเชื้อทั้งสิ้น
การควบคุมคุณภาพ ในโรงงานผลิตเครื่องดื่ม ใช้รังสีวัดระดับของเหลวในขวดเพื่อให้ได้ปริมาณที่เท่ากัน ในโรงงานผลิตอาวุธของทหาร ใช้เอ็กซ์เรย์ตรวจสอบคุณภาพ แม้แต่ไม้จิ้มฟันบางยี่ห้อก็ผ่านการฉายรังสีเพื่อป้องกันการติดเชื้อ
“วิศวกรรมนิวเคลียร์ จุฬาฯ ได้ผลิตบุคลากรเข้าไปทำงานในอุตสาหกรรมต่าง ๆ จำนวนมาก ดังนั้น แม้ ไม่มีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ความรู้ทางนิวเคลียร์ก็มีประโยชน์อย่างมากต่อสังคม” รศ.นเรศร์ กล่าว
รศ.นเรศร์ อธิบายเพิ่มเติมต่อว่าอีกหนึ่งมิติที่น่าสนใจคือความเกี่ยวข้องระหว่างเทคโนโลยีนิวเคลียร์กับธาตุหายาก (Rare Earth) ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญสำหรับเทคโนโลยีทันสมัย เช่น สมาร์ทโฟน รถยนต์ไฟฟ้า อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ โดรน อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ
“ธาตุหายากมักมีธาตุกัมมันตรังสีเจือปนอยู่ การสำรวจและวิเคราะห์จึงสามารถใช้เทคนิคทางนิวเคลียร์ นอกจากนี้ยังมีเทคนิคทางนิวเคลียร์หลายอย่างที่สามารถใช้ในการสำรวจ บ่งบอกชนิด และวิเคราะห์ปริมาณธาตุหายากได้ สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติเคยมีโครงการแร่หายาก มีโรงงานที่ออกแบบแล้ว แต่ต้องหยุดไปก่อน ขณะนี้จึงยังไม่สายที่จะพัฒนาต่อ เพราะแร่ธาตุหายากมีความสำคัญอย่างยิ่งต่ออุตสาหกรรมไฮเทคเป็นอย่างมาก”
แม้โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ SMR จะมีข้อดีหลายประการและตอบโจทย์ความมั่นคงด้านพลังงานและเป้าหมาย Net Zero แต่ก็มีความท้าทายที่ต้องรับมือ อาทิ ความชัดเจนของประเทศในการดำเนินโครงการ การพัฒนามีองค์กรที่กำกับดูแล กฎหมาย การพัฒนาด้านบุคลากรที่เกี่ยวข้อง ที่ปัจจุบันยังมีนิสิตเข้าเรียนในภาควิชาวิศวกรรมนิวเคลียร์ไม่มากพอ และที่สำคัญคือการยอมรับของภาคประชาชน
เหตุการณ์โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ฟุกุชิมะในปี 2554 อาจทำให้การยอมรับพลังงานนิวเคลียร์ของประชาชนลดลง แต่ รศ.ดร.สมบูรณ์ ก็ตั้งข้อสังเกตว่าในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา เมื่อมีการให้ข้อมูลเรื่อง SMR ประชาชนตามสังคมออนไลน์เริ่มมองว่านี่คือเทคโนโลยีใหม่ที่ทันสมัยกว่า ปลอดภัยกว่า โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่มีแนวโน้มยอมรับเทคโนโลยีนี้มากขึ้น
“หน้าที่ของสถาบันการศึกษาคือการให้ข้อมูลที่ตรงไปตรงมากับประชาชนว่าเทคโนโลยีนี้คืออะไร มีการพัฒนาปรับปรุงมาอย่างไร โอกาสเกิดอุบัติเหตุมีมากน้อยเท่าใด เมื่อเทียบกับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในอดีต โอกาสเกิดอุบัติเหตุมีเท่าใด พร้อมทั้งชี้ให้เห็นข้อดีและข้อด้อยอย่างครบถ้วน เมื่อให้ข้อมูลครบแล้ว การตัดสินใจก็เป็นของประชาชน ซึ่งทุกคนเราก็ต้องยอมรับผลตรงนั้น” รศ.ดร.สมบูรณ์ กล่าวสรุป
“อยากวิงวอนผู้บริหารประเทศให้โอกาสผู้ที่มีความรู้ความสามารถทางด้านวิศวกรรมและเทคโนโลยีนิวเคลียร์ ได้เข้ามาบริหารหน่วยงานหลักทางด้านนิวเคลียร์ของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ (ปส.) และสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (สทน.) เพื่อประเทศของเราจะได้ก้าวไปสู่ยุคที่เทคโนโลยีนิวเคลียร์สามารถนำไปใช้ในการพัฒนาประเทศทางด้านต่าง ๆ ได้อย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นด้านพลังงาน อุตสาหกรรม เกษตรกรรม สิ่งแวดล้อม วัสดุ และอื่น ๆ” รศ.นเรศร์กล่าวทิ้งท้ายไว้
โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก SMR คือโอกาสสำคัญที่ประเทศไทยควรเตรียมตัวไว้ ด้วยเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นมาอย่างมาก ระบบความปลอดภัยที่เหนือกว่า ความยืดหยุ่นในการติดตั้ง และที่สำคัญคือการไม่ปลดปล่อยคาร์บอน และด้วยความมุ่งมั่นที่สั่งสมมานานกว่าครึ่งศตวรรษ ความรู้และประสบการณ์ ภาควิชาวิศวกรรมนิวเคลียร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ พร้อมเป็นส่วนร่วมในการพัฒนาโอกาสของประเทศในการสร้างความมั่นคงทางพลังงานอย่างยั่งยืน
ในอีกประมาณ 12 ปีข้างหน้า ประเทศไทยมีแผนที่จะเริ่มใช้โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็กแห่งแรกที่จะเริ่มผลิตกระแสไฟฟ้าได้จริง พลังงานสะอาดยุคใหม่อยู่แค่เอื้อมและประเทศไทยกำลังเตรียมความพร้อมที่จะก้าวไปสู่อนาคตนั้น
ติดตามข่าวสารและข้อมูลของภาควิชาวิศวกรรมนิวเคลียร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ทาง Facebook: Nuclear Engineering, Chulalongkorn University
https://www.facebook.com/NuclearChulaEngineering
OSener ชุดกิจกรรมศิลปะเพื่อคนวัย 50+ เติมเต็มวันว่าง แก้เหงา ชะลอสมองเสื่อม
เจาะลึกนวดแผนไทย – ศาสตร์ด้านการแพทย์แผนไทยที่ยังคงอยู่ในทุกยุคสมัย
จากเปลือกทุเรียนเหลือทิ้ง สู่นวัตกรรมแห่งความยั่งยืน ดุษฎีบัณฑิตจุฬาฯ พัฒนาเส้นใยผ้าทอจากเปลือกทุเรียนสำเร็จครั้งแรกในไทย ผสานภูมิปัญญาท้องถิ่น ส่งเสริม Soft Power ไทย
ER-VIPE เกมจำลองสถานการณ์ห้องฉุกเฉิน ฝึก Soft Skills นิสิตแพทย์ พร้อมช่วยชีวิตผู้ป่วยทันกาล
Molly Ally ไอศกรีมจากพืช เริ่มธุรกิจด้วย Passion พัฒนาสินค้าจาก Pain Point
อักษรฯ จุฬาฯ เปิดสอนรายวิชา “Dracula and Modern Culture” จากวรรณกรรมสยองขวัญสู่กระจกสะท้อนวัฒนธรรมร่วมใหม่
จุฬาฯ เป็นที่ที่เราได้มาพบตัวเองจริงๆ และเป็นช่วงเวลาที่สนุกที่สุด คุณรสสุคนธ์ กองเกตุ (ครูเงาะ) นิสิตเก่า คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
จุฬาฯ เป็นที่ที่เราได้มาพบตัวเองจริงๆ และเป็นช่วงเวลาที่สนุกที่สุด
คุณรสสุคนธ์ กองเกตุ (ครูเงาะ) นิสิตเก่า คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีให้กับท่าน และเพื่อพัฒนาคุณภาพการให้บริการเว็บไซต์ที่ตรงต่อความต้องการของท่านมากยิ่งขึ้น ท่านสามารถทราบรายละเอียดเกี่ยวกับคุกกี้ได้ที่ นโยบายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และท่านสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า
ท่านสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น
ประเภทของคุกกี้ที่มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้ท่านสามารถใช้เว็บไซต์ได้อย่างเป็นปกติ ท่านไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลพฤติกรรมการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน โดยมีจุดประสงค์คือนำข้อมูลมาวิเคราะห์เพื่อปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ให้มีคุณภาพ และสร้างประสบการณ์ที่ดีกับผู้ใช้งาน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด หากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราอาจไม่สามารถวัดผลเพื่อการปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ให้ดีขึ้นได้ รายละเอียดคุกกี้