รู้จักจุฬาฯ
การบริหาร
อัตลักษณ์มหาวิทยาลัย
Green University
Sustainability
ติดต่อจุฬาฯ
บริจาคให้จุฬาฯ
หลักสูตร
การสมัครเข้าศึกษา
หน่วยงานการศึกษา
บริการนิสิต
บริการวิชาการ
บริการทางการแพทย์
บริการตรวจวิเคราะห์คุณภาพ
สารสนเทศและการสื่อสาร
พื้นที่สร้างสรรค์
ข่าวสารและความเคลื่อนไหว
วารสารจุฬาฯ
สาระความรู้
ข่าวสารจุฬาฯ
8 พฤษภาคม 2566
ข่าวเด่น
ผู้เขียน Geert-Jan (GJ) van der Zanden
บทความโดย Geert-Jan (GJ) van der Zanden – Senior Advisor และ Visiting Professor Transformational Sustainability Leadership, Sasin School of Management
การสัมมนา EARTH JUMP 2023: New Frontier of Growth โดยธนาคารกสิกรไทยที่ผ่านมา มีการนำเสนอแผนการเปลี่ยนแปลงเพื่อนำไปสู่ความยั่งยืนจากหลายภาคส่วน คุณวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้นำเสนอกลยุทธ์ของประเทศไทยในการขับเคลื่อนสู่เป้าหมาย net zero หรือการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ภายในปี พ.ศ. 2608 ขณะที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ธนาคารแห่งประเทศไทย และธนาคารกสิกรไทยต่างส่งเสริม ESG และคาร์บอนเครดิตซึ่งเป็นเครื่องมือหลักในการขับเคลื่อนสู่การเปลี่ยนแปลงสู่ความยั่งยืน
การประชุมดังกล่าวได้สร้างแรงบันดาลใจให้ผม อยากแชร์ความคิดเห็นในเรื่องของโอกาสและการก้าวต่อไปของประเทศไทย
• เป็นที่แน่ชัดว่าภาคการเงินต้องเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงของประเทศไทย ไทยถือเป็น 1 ใน 10 ประเทศที่เสี่ยงต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากที่สุดในโลก ความเสี่ยงต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศนั้นชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ จากสภาพภูมิอากาศที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานด้าน supply chain ส่งผลไปจนถึงความล้มเหลวของบริษัทต่างๆ ในการทำตามข้อกำหนดที่เกี่ยวกับพรมแดนคาร์บอน หรือ CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanisms) ของสหภาพยุโรปและสหรัฐอเมริกา Swiss Re ซึ่งเป็นบริษัทประกันภัยที่ใหญ่ที่สุดในโลกทำนายว่า ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอาจลด GDP ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ลงได้ถึง 29% ภายในปี พ.ศ. 2593 ความเสี่ยงด้านความยั่งยืน เช่น ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือการขาดแคลนทรัพยากรจำเป็นต้องได้รับการจัดการและบรรเทา และจำเป็นต้องมีการระดมทุนเพื่อช่วยให้ทั้งบริษัทและครัวเรือนสามารถปรับตัวและเปลี่ยนแปลงได้ การเปลี่ยนแปลงไปสู่รูปแบบการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืนมากขึ้นนั้นไม่ควรถูกมองว่าเป็นภัยคุกคาม แต่เป็นการมอบโอกาสทางการค้าที่ใหญ่ที่สุดในยุคนี้ให้กับบริษัทที่ริเริ่มพัฒนาหาทางออกไปสู่ความยั่งยืนให้กับตัวเอง และที่สำคัญกว่านั้นเพื่อรับมือกับความต้องการด้านความยั่งยืนของลูกค้า
• ประวัติศาสตร์ได้แสดงให้เห็นว่า การวางแผนการใหญ่หรือความตั้งใจอันยิ่งใหญ่นั้นอาจไม่ได้ผลลัพธ์ตามที่ตั้งใจไว้ แม้ว่ารัฐบาลและภาคธุรกิจจะกำหนดพันธกิจด้านความยั่งยืนไว้อย่างยิ่งใหญ่ แต่โลกก็กำลังวิ่งตามเป้าหมายนั้นไม่ทันขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากการดำเนินการจริงมักมีอุปสรรค เช่น ความขัดแย้งด้านการเมือง ผลประโยชน์ทางอุตสาหกรรม และขาดการสนับสนุนทางสังคม ตัวอย่างที่ชัดเจนและน่าเศร้าใจคือ พันธสัญญา Net Zero ที่เกิดขึ้นเพื่อจำกัดความร้อนของโลกให้เพิ่มขึ้นไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียส และเพื่อทำให้การปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ลดลง 45% จากระดับปี พ.ศ. 2553 ภายในปี พ.ศ. 2573 แต่จากข้อมูลระดับชาติที่มีอยู่ในขณะนี้ คาดว่าการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์กลับจะเพิ่มขึ้นอีก 10% ภายในปี พ.ศ. 2573 (UN 2565) นอกจากนี้ การทำตามพันธสัญญาเหล่านี้ยังดำเนินไปอย่างล่าช้ากว่าแผนอย่างมาก (IPCC, 2566) สำหรับประเทศไทยนั้น Net Zero ที่วางแผนไว้ในปี พ.ศ. 2608 เป็นหนึ่งใน Net Zero ที่จะบรรลุเป้าหมายช้าที่สุด ‘การซื้อเวลา’ อาจเป็นประโยชน์เนื่องจากเทคโนโลยีสะอาดจะเติบโตต่อไป และราคาจะถูกลงในอนาคต อย่างไรก็ตามปัญหาที่ทับถมรอมานานก็จะใหญ่ขึ้นตามมาเช่นกัน ที่สำคัญกว่านั้นการตั้งเป้าหมายที่ไกลเกินไปนั้นไม่สามารถจะสื่อสารถึงความเร่งด่วน รวมถึงเสียโอกาสต่างๆในการเปลี่ยนแปลง อุตสาหกรรมไทยอาจขาดโอกาสในการกลายเป็น Green Champions นอกจากนี้ Net Zero ของประเทศไทยยังดูเหมือนว่าจะพึ่งพาการใช้ CCUS (Carbon Capture, Usage and Storage) เป็นหลัก ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ภาคอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิลให้การสนับสนุน แต่เป็นวิธีที่คุ้มค่าน้อยกว่าทางเลือกอื่นๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน นอกจากนี้เศรษฐกิจหมุนเวียนก็มีบทบาทสำคัญในแผนของประเทศไทย ซึ่งแม้ “เศรษฐกิจหมุนเวียน” จะได้รับความสนใจจากทั่วโลก แต่ก็ยังไม่ได้ให้ผลลัพธ์ที่น่าเชื่อถือ โลกได้ดูดใช้ทรัพยากรในช่วง 6 ปีที่ผ่านมามากกว่าในศตวรรษที่ 20 ทั้งหมดรวมกัน ระดับการรีไซเคิลได้ลดลงอย่างต่อเนื่องจาก 9.1% ในพ.ศ. 2561 เหลือเพียง 7.2% ในพ.ศ. 2566 (CGRI)
• การวัดปัจจัย ESG เพื่อการจัดการที่ดีขึ้นเป็นสิ่งสำคัญ แต่การจัดการ ESG ยังคงเผชิญกับความท้าทายอย่างมาก การได้มาซึ่งข้อมูล ESG นั้นมีค่าใช้จ่ายสูงและมีปัญหาด้านคุณภาพข้อมูล ในขณะที่การตีความข้อมูลก็มีความคลุมเครือเกินไป (rating ที่แตกต่างกันโดยหน่วยงานที่แตกต่างกัน) และซับซ้อนเกินไปสำหรับนักลงทุน ทำให้เกิดการฟอกเขียวได้ง่าย ESG taxonomy ซึ่งนำโดยสหภาพยุโรปและกำลังพัฒนาในเอเชียจะช่วยแก้ปัญหาเหล่านี้ได้บางส่วน ความสำเร็จในการนำระบบ ESG ไปใช้อย่างแพร่หลายนั้นต้องทำให้ง่ายขึ้น และต้องช่วย SMEs ในการนำไปใช้ซึ่งเป็นสิ่งที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ พยายามทำอยู่ผ่าน ESG Academy
• ที่สำคัญที่สุด ESG rating system ให้ความสำคัญกับการจัดการความเสี่ยงของธุรกิจรูปแบบเดิมมากกว่าโอกาสในการสร้างผลกระทบและการเติบโตด้วยนวัตกรรมใหม่ การเน้นไปที่การนำ ESG ไปใช้อย่างเดียวจะทำให้เสี่ยงต่อ “การที่บริษัทจะบรรลุเป้าหมายแต่พลาดประเด็น” การคว้าโอกาสที่จะเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงไปสู่ความยั่งยืนนั้น บริษัทจะต้องสร้างวัฒนธรรมและปรับกรอบความคิดด้านความยั่งยืนให้ทั่วทั้งองค์กร เนื่องจากความยั่งยืนจะกลายเป็นตัวขับเคลื่อนใหม่ของการเติบโต สิ่งนี้จะต้องใช้พนักงานที่ใส่ใจและมีทักษะด้านการสร้างความยั่งยืนจำนวนมาก (green employees) ไม่ใช่เฉพาะระดับบนสุดขององค์กร เพื่อรวบรวมความคิดริเริ่มทั่วทั้งองค์กรให้เป็นกลยุทธ์ด้านความยั่งยืนที่สอดคล้องกัน ตามตัวเลขของ LinkedIn การเติบโตของตำแหน่งงานด้านความยั่งยืน (+30% ในเอเชียแปซิฟิกระหว่างปี พ.ศ. 2559 ถึง 2564 เทียบกับ 70% ในยุโรปและ 40% ในสหรัฐอเมริกา) กำลังแซงหน้าอุปทาน และคาดการณ์ว่าโลกจะขาดแคลน green talents ภายในปี พ.ศ. 2569 ดังนั้นเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนไปสู่ความยั่งยืนที่ตั้งเป้าหมายไว้ ประเทศไทยต้องเร่งพัฒนาบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถด้านความยั่งยืนโดยเร็วที่สุด ศศินทร์ฯ เองก็กำลังบูรณาการเรื่องความยั่งยืนในหลักสูตร MBA และ Executive MBA ตลอดจนกำลังพัฒนาหลักสูตรประกาศนียบัตรด้าน Practical Sustainability Leadership สำหรับผู้นำที่ต้องขับเคลื่อนความยั่งยืน ในขณะเดียวกันศูนย์ความยั่งยืนและการเป็นผู้ประกอบการของศศินทร์ฯ หรือ Sasin SEC (Sustainability & Entrepreneurship Center) ก็มีการจัด workshop ‘Value Discovery’ เพื่อช่วยให้ลูกค้าองค์กรมองเห็นโอกาสทางการค้าและสามารถพัฒนาแผนงานเพื่อสร้างคุณค่าใหม่ๆจากเทรนด์ด้านความยั่งยืน เมื่อวางแผนแล้ว เราต้องหาทางทำให้สำเร็จให้ได้!
อธิการบดีจุฬาฯ รับพระราชทานโล่ประกาศเกียรติคุณมูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริฯ ในพิธีต้อนรับเรือเสว่ยหลง 2 เยือนประเทศไทย
นักวิจัยจุฬาฯ ตัวแทนไทยร่วมคณะสำรวจแอนตาร์กติกบนเรือตัดน้ำแข็ง “เสว่ยหลง 2” จากจีน ตามรอยไมโครพลาสติก ถอดรหัสผลกระทบโลกร้อน สู่จิ๊กซอว์ความรู้เพื่อโลก
คณะครุศาสตร์ จุฬาฯ จัดอบรมนักจัดการเรียนรู้ตลอดชีวิตในองค์กร
บริษัทจำลองจุฬาฯ 2025 เปิดโครงการฝึกงานนิสิตภาคฤดูร้อน ภายใต้ปณิธาน “ทำงานด้วยใจ คืนกำไรสู่สังคม”
จุฬาฯ มีลักษณะของความเป็นพี่น้อง ความอบอุ่น เป็นสังคมที่อยากอนุรักษ์ไว้ ศาสตราจารย์ เภสัชกรหญิง ดร.พรอนงค์ อร่ามวิทย์ คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
จุฬาฯ มีลักษณะของความเป็นพี่น้อง ความอบอุ่น เป็นสังคมที่อยากอนุรักษ์ไว้
ศาสตราจารย์ เภสัชกรหญิง ดร.พรอนงค์ อร่ามวิทย์ คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีให้กับท่าน และเพื่อพัฒนาคุณภาพการให้บริการเว็บไซต์ที่ตรงต่อความต้องการของท่านมากยิ่งขึ้น ท่านสามารถทราบรายละเอียดเกี่ยวกับคุกกี้ได้ที่ นโยบายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และท่านสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า
ท่านสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น
ประเภทของคุกกี้ที่มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้ท่านสามารถใช้เว็บไซต์ได้อย่างเป็นปกติ ท่านไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลพฤติกรรมการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน โดยมีจุดประสงค์คือนำข้อมูลมาวิเคราะห์เพื่อปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ให้มีคุณภาพ และสร้างประสบการณ์ที่ดีกับผู้ใช้งาน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด หากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราอาจไม่สามารถวัดผลเพื่อการปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ให้ดีขึ้นได้ รายละเอียดคุกกี้