ข่าวสารจุฬาฯ

สูงวัยต้องระวัง! ร่างกายเปลี่ยนแปลงทำไขมันสะสม เพิ่มความเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจ แนะดูแลสุขภาพเพื่อการเป็นผู้สูงวัยที่มีคุณภาพ

จุฬาฯ เผยสูงวัยต้องระวัง! ร่างกายเปลี่ยนแปลงทำไขมันสะสม LDL พุ่ง-HDL ตก เพิ่มความเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจ ชี้ดูแลสุขภาพตั้งแต่หนุ่มสาวคือกุญแจสู่ผู้สูงวัยมีคุณภาพ

ผศ.ดร.ระวีนันท์ มิ่งภัคนีย์ จากภาควิชาเวชศาสตร์การธนาคารเลือดและจุลชีววิทยาคลินิก คณะสหเวชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยถึงข้อมูลเกี่ยวกับภาวะไขมันในเลือดของผู้สูงวัยว่า เมื่อสังคมไทยก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยอย่างเต็มตัว ประชากรส่วนใหญ่ของประเทศเป็นผู้สูงวัย การมีคุณภาพชีวิตที่ดีเมื่อสูงอายุงจึงเป็นเป้าหมายสำคัญที่ทุกคนควรเตรียมตัว ซึ่งภาวะไขมันในเลือดของผู้สูงวัยถือเป็นปัจจัยเสี่ยงหลักต่อโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ โรคที่มีค่าใช้จ่ายในการรักษาสูง ต้องพักรักษาตัวนาน และส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตอย่างมาก ดังนั้น หากจะเป็นผู้สูงวัยอย่างมีคุณภาพ ต้องเริ่มดูแลสุขภาพร่างกายตั้งแต่อายุยังน้อย โดยจะต้องทำความเข้าใจการเปลี่ยนแปลงของร่างกายและเตรียมพร้อมรับมือเพื่อการก้าวสู่การเป็นผู้สูงวัยอย่างมีคุณภาพ

ผศ.ดร.ระวีนันท์ มิ่งภัคนีย์ ภาควิชาเวชศาสตร์การธนาคารเลือดและจุลชีววิทยาคลินิก คณะสหเวชศาสตร์ จุฬาฯ

ผศ.ดร.ระวีนันท์ อธิบายว่า ไขมันในเลือดมี 4 กลุ่มหลัก ได้แก่ คอเลสเตอรอล ซึ่งร่างกายสังเคราะห์เองเป็นส่วนใหญ่และได้รับบางส่วนจากอาหารประเภทไขมันสัตว์ ทำหน้าที่เป็นองค์ประกอบของเยื่อหุ้มเซลล์และสารตั้งต้นของวิตามินดีและฮอร์โมนบางชนิด ไตรกลีเซอไรด์ ได้รับจากอาหารเป็นหลักและเป็นแหล่งพลังงานสำคัญของร่างกาย ฟอสโฟลิปิด ที่เป็นส่วนประกอบของเยื่อหุ้มเซลล์ และกรดไขมันอิสระ ที่เป็นแหล่งพลังงานสำคัญในเลือด การขนส่งไขมันในกระแสเลือด ไขมันจะจับกับโปรตีนเป็นอนุภาคที่เรียกว่า “ไลโปโปรตีน” ชนิดที่คนทั่วไปคุ้นเคยดี คือ LDL หรือไขมันเลว ที่ทำหน้าที่ขนส่งคอเลสเตอรอลไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย และ HDL หรือไขมันดี ที่ทำหน้าที่เก็บไขมันส่วนเกินจากเนื้อเยื่อส่วนต่าง ๆ นำไปทำลายที่ตับ พร้อมทั้งป้องกัน LDL จากการถูกทำลายโดยอนุมูลอิสระ

ผศ.ดร.ระวีนันท์ กล่าวว่า โรคหลอดเลือดหัวใจตีบเกิดจากการสะสมไขมันในผนังหลอดเลือด ซึ่งเริ่มตั้งแต่วัยเด็กและเพิ่มขึ้นตามอายุ เมื่อไขมันสะสมมากขึ้น ผนังหลอดเลือดยืดหยุ่นได้ไม่ดี และอาจเกิดการปริแตกฉีกขาด ร่างกายจะสร้างลิ่มเลือดมาอุดแผล ทำให้ทางเดินของเลือดแคบลง เกิดภาวะหัวใจตีบ หากรุนแรงจนเลือดไม่สามารถผ่านได้เลยจะเกิดเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด หากเกิดที่สมองจะเป็นอัมพฤกษ์อัมพาต หรือหากเกิดที่หลอดเลือดขาจะทำให้ปวดน่องปวดขา การสะสมไขมันนี้มักพบในผู้ที่มี LDL สูงเกินค่าปกติ เนื่องจาก LDL เป็นอนุภาคทรงกลมที่มีโอกาสแทรกตัวเข้าไปในผนังหลอดเลือดและไปสะสมเป็นก้อนไขมันได้ง่าย ยิ่งระดับ LDL มาก โอกาสการสะสมก็ยิ่งสูง

ผศ.ดร.ระวีนันท์ กล่าวต่อว่า แบ่งปัจจัยเสี่ยงออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกคือปัจจัยที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ได้แก่ เพศ โดยผู้ชายมีความเสี่ยงมากกว่าผู้หญิง แต่เมื่อผู้หญิงเข้าสู่วัยหมดประจำเดือนจะไม่มีฮอร์โมนมาช่วยลดระดับไขมันในเลือด ทำให้มีความเสี่ยงใกล้เคียงผู้ชาย พันธุกรรม หากในครอบครัวมีผู้เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบตั้งแต่อายุน้อยจะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น และอายุ ผู้ชายอายุ 35-40 ปีขึ้นไป และผู้หญิงอายุ 50 ปีขึ้นไปมีความเสี่ยงมากขึ้น กลุ่มที่สองคือปัจจัยที่ควบคุมได้ ซึ่งเป็นโรคที่ส่งผลต่อความเสี่ยงต่อหลอดเลือดหัวใจ เช่น ภาวะความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน ภาวะไขมันผิดปกติ โรคอ้วน การขาดการออกกำลังกาย และภาวะเครียด หากสามารถหลีกเลี่ยงหรือรักษาปัจจัยเหล่านี้ได้ดี ความเสี่ยงก็จะลดลง

ผศ.ดร.ระวีนันท์ ชี้ให้เห็นว่า เมื่ออายุมากขึ้น ร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงของระบบเผาผลาญที่ส่งผลต่อระดับไขมันในเลือดอย่างชัดเจน การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้แบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลัก โดย ส่วนที่ 1 การเปลี่ยนแปลงของไขมันในร่างกาย มี 3 ประการสำคัญ ได้แก่ ร่างกายใช้ไขมันเป็นพลังงานลดลง ทำให้กรดไขมันที่เก็บไว้เป็นพลังงานสำรองค้างอยู่และถูกนำไปสะสมที่เนื้อเยื่อต่าง ๆ เช่น ตับ หัวใจ หรือกล้ามเนื้อ รูปแบบการสะสมไขมันเปลี่ยนไป จากเดิมที่สะสมใต้ผิวหนังทั่วร่างกาย กลายเป็นสะสมบริเวณช่องท้องมากขึ้น ทำให้รอบเอวหนาขึ้นและเสี่ยงต่อภาวะเมตาบอลิกซินโดรม และเนื้อเยื่อไขมันสีขาวที่มีหน้าที่เก็บไขมันมีสัดส่วนมากกว่าเนื้อเยื่อไขมันสีน้ำตาลที่มีหน้าที่เผาผลาญไขมัน ทำให้มีการเก็บมากกว่าการใช้ ส่วนที่ 2 การเปลี่ยนแปลงของไขมันในเลือด พบว่าระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูงขึ้นเนื่องจากระบบการเผาผลาญลดลง ทำให้ไตรกลีเซอไรด์ค้างอยู่ในกระแสเลือดนานขึ้น คอเลสเตอรอลมีแนวโน้มสูงขึ้นเพราะลำไส้เล็กสร้างกรดน้ำดีที่ใช้ย่อยคอเลสเตอรอลลดลง ทำให้คอเลสเตอรอลถูกย่อยน้อยลงและเข้าสู่กระแสเลือดมากขึ้น ทำให้ LDL มีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างชัดเจน จากเดิมที่คนอายุไม่เกิน 20 ปีจะมีระดับ LDL ไม่เกิน 100 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร แต่เมื่ออายุประมาณ 70 ปีขึ้นไป ผู้ชายจะมี LDL สูงถึง 130 ขณะที่ผู้หญิงสูงถึง 150 ทั้งนี้เพราะตับสร้างตัวรับ LDL ลดลง ทำให้การนำ LDL เข้าสู่ตับเพื่อทำลายลดลง และ HDL มีแนวโน้มต่ำลงเพราะถูกทำลายได้เร็วขึ้น ประกอบกับความสามารถในการป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบก็ลดลงในผู้สูงอายุ

“สำหรับผู้สูงวัย ค่ามาตรฐานของคอเลสเตอรอลอยู่ที่ประมาณ 220 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร (สูงกว่าคนหนุ่มสาวที่ไม่ควรเกิน 200) ไตรกลีเซอไรด์ไม่ควรเกิน 150 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร LDL ยังคงพยายามไม่ให้เกิน 100 มิลลิกรัม และ HDL ควรรักษาให้สูงกว่า 35-40 มิลลิกรัม โดยยิ่งสูงยิ่งดี ดังนั้นผู้สูงอายุที่แข็งแรงไม่มีโรคประจำตัว จึงควรตรวจไขมันในเลือดปีละ 1 ครั้ง แต่หากมีโรคประจำตัว เช่น ความดันโลหิตสูงหรือเบาหวาน อาจต้องตรวจปีละ 2 ครั้ง” ผศ.ดร.ระวีนันท์ แนะนำ

ผศ.ดร.ระวีนันท์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ผู้สูงวัยควรรับประทานอาหาร 5 หมู่หลักเหมือนคนทุกวัย โดยเน้นโปรตีนจากเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน เนื้อปลา หรือไข่ไก่ (แต่ผู้ที่มีไขมันในเลือดสูงควรปรึกษาแพทย์ก่อน) คาร์โบไฮเดรตเน้นข้าวกล้อง ธัญพืช และข้าวไม่ขัดขาว ผักหลากสีโดยเฉพาะผักใบเขียว ฟักทอง แครอท แต่ควรหั่นเป็นชิ้นเล็กและต้มให้นิ่มเพื่อให้เคี้ยวง่าย ผลไม้เพื่อได้รับวิตามินซีและใยอาหาร แต่หลีกเลี่ยงผลไม้รสหวานจัด เช่น ลำไยเพื่อป้องกันเบาหวาน และไขมันบริโภคไม่ควรเกินวันละ 2 ช้อนโต๊ะ โดยเน้นไขมันจากพืช ด้านการออกกำลังกาย แต่ละครั้งควรเกิน 30 นาที แต่หากเพิ่งเริ่มใหม่ให้เริ่มจาก 10 นาทีก่อนประมาณ 1 สัปดาห์ แล้วค่อย ๆ เพิ่มเป็น 15 นาที และเพิ่มขั้นเรื่อย ๆ ตามที่ร่างกายจะทำได้ พยายามทำกิจกรรมในแต่ละวันให้มีการออกแรงเพิ่มมากขึ้น สามารถเลือกออกกำลังกายแบบแอโรบิก เดิน วิ่ง หรือกิจกรรมที่เหมาะสมกับตนเอง การออกกำลังกายสม่ำเสมอยังช่วยเพิ่มระดับ HDL ซึ่งเป็นไขมันดีที่ช่วยปกป้องหลอดเลือดอีกด้วย อย่างไรก็ตาม ผู้ที่มีโรคประจำตัวที่เป็นอุปสรรคต่อการออกกำลังกาย เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ หรือมีปัญหาการทรงตัว ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเพื่อหาวิธีการออกกำลังกายที่เหมาะสมและปลอดภัย “ทุกคนควรดูแลตัวเองตั้งแต่วัยหนุ่มสาวหรือวัยกลางคน โดยเริ่มตั้งแต่วันนี้ไม่มีคำว่าสาย เพื่อให้ตัวเอง ก้าวสู่เป็นผู้สูงวัยอย่างมีคุณภาพ การเข้าใจการเปลี่ยนแปลงของร่างกายและเตรียมพร้อมรับมือตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยให้เรามีวัยทองที่มีคุณภาพชีวิตที่ดี แข็งแรง และห่างไกลจากโรคร้ายอย่างโรคหลอดเลือดหัวใจตีบได้” ผศ.ดร.ระวีนันท์ ฝากข้อคิดสำคัญทิ้งท้าย

จุฬาฯ มีลักษณะของความเป็นพี่น้อง ความอบอุ่น เป็นสังคมที่อยากอนุรักษ์ไว้

ศาสตราจารย์ เภสัชกรหญิง ดร.พรอนงค์ อร่ามวิทย์ คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ไอคอน PDPA

เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีให้กับท่าน และเพื่อพัฒนาคุณภาพการให้บริการเว็บไซต์ที่ตรงต่อความต้องการของท่านมากยิ่งขึ้น ท่านสามารถทราบรายละเอียดเกี่ยวกับคุกกี้ได้ที่ นโยบายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และท่านสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

ท่านสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

อนุญาตทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้ที่มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้ท่านสามารถใช้เว็บไซต์ได้อย่างเป็นปกติ ท่านไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลพฤติกรรมการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน โดยมีจุดประสงค์คือนำข้อมูลมาวิเคราะห์เพื่อปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ให้มีคุณภาพ และสร้างประสบการณ์ที่ดีกับผู้ใช้งาน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด หากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราอาจไม่สามารถวัดผลเพื่อการปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ให้ดีขึ้นได้
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า