Highlights

ภาควิชานาฏยศิลป์ จุฬาฯ พร้อมสร้างศิลปินนักวิชาการ อนุรักษ์-สร้างสรรค์-วิจัย เสริมพลังเศรษฐกิจในโลกดิจิทัลด้วย Soft Power


นาฏยศิลป์ไม่ใช่การเต้นกินรำกิน แต่เป็นศาสตร์แห่งการสื่อสารอันทรงพลังและบ่มเพาะศักยภาพมนุษย์ หลักสูตร “นาฏยศิลป์” จุฬาฯ ทั้งปริญญาตรี โท เอก เน้นปั้นบัณฑิตที่จะเป็นทั้งศิลปินและนักวิชาการ ต่อยอดนวัตกรรมนาฏยศิลป์ สร้างมูลค่าเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เสริมคุณค่า soft power อย่างเข้าใจ สู่หนทางอาชีพหลากหลายในโลกสมัยใหม่ 


สิ่งเก่าจะดำรงอยู่ในโลกยุคใหม่อย่างไร!!! เป็นโจทย์ที่ท้าทายศิลปะและวัฒนธรรมแขนงต่าง ๆ ของประเทศ โดยเฉพาะ “นาฏยศิลป์” อย่างการร่ายรำอ่อนช้อยงดงาม เครื่องแต่งกายที่วิจิตรตระการตา หรือการแสดงโขน ละครต่าง ๆ ฯลฯ นิสิตนักศึกษาหลายคนอาจสงสัยว่าเรียนศาสตร์นี้แล้วจะประกอบอาชีพอะไร หรือนำไปใช้อะไรได้ในชีวิตยุคดิจิทัล

ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.สุรพล วิรุฬห์รักษ์ ราชบัณฑิตและปรมาจารย์แห่งวงการนาฏศิลป์ของไทย อาจารย์พิเศษ ภาควิชานาฏยศิลป์ คณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่าแท้จริงแล้ว “นาฏยศิลป์” อยู่ได้ในทุกยุคทุกสมัยเพราะเป็นสิ่งที่อยู่ในดีเอ็นเอของมนุษย์ “นาฏยศิลป์เป็นศาสตร์ที่แทรกซึมอยู่ในทุกมิติของชีวิต ตั้งแต่การแสดงออกตามสัญชาตญาณของมนุษย์ยุคหินไปจนถึงการสร้างแบรนด์ของมหาวิทยาลัยในยุคดิจิทัล และจะยิ่งทวีความหมายในโลกสมัยใหม่ที่ soft power มีส่วนสำคัญในการสร้างมูลค่าเศรษฐกิจสร้างสรรค์ และเติมเต็มคุณค่าทางจิตวิญญาณให้มนุษย์”

ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.สุรพล วิรุฬห์รักษ์
ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.สุรพล วิรุฬห์รักษ์
ราชบัณฑิตและปรมาจารย์แห่งวงการนาฏศิลป์ของไทย อาจารย์พิเศษ ภาควิชานาฏยศิลป์ คณะศิลปกรรมศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

นับตั้งแต่ยุคก่อตั้ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยให้ความสำคัญกับศาสตร์ที่เกี่ยวกับหรือที่เป็นการแสดงมาโดยตลอด ในฐานะเป็นกระบวนการและเครื่องมือส่งเสริมการเรียนรู้ การสื่อสาร และพัฒนาศักยภาพของนิสิต แต่ละปี นิสิตคณะต่าง ๆ จะสร้างสรรค์การแสดงที่เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในสังคม เช่น ละครสถาปัตย์ฯ ละครอักษรฯ ละครนิเทศฯ เป็นต้น และที่สำคัญ คณะศิลปกรรมศาสตร์ ก็เปิดภาควิชานาฏยศิลป์ ที่ปัจจุบันเน้นบ่มเพาะบัณฑิตให้มีความเป็น‘ศิลปิน’ และ ‘นักวิชาการ’ ในคนเดียวกัน เก่งทั้งภาคปฏิบัติและวิชาการ อันเป็นรากฐานในการต่อยอดนวัตกรรมทางนาฏยศิลป์ให้กับสังคม

“อนาคตของบัณฑิตนาฏยศิลป์ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การแสดงบนเวที แต่จะขยายไปสู่การเป็นผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ บัณฑิตที่จบไปสามารถทำงานได้หลากหลาย ตั้งแต่การเป็นนักแสดง ครูสอนเต้น ผู้ออกแบบท่าการแสดง ไปจนถึงการเป็นช่างแต่งหน้า ทำผม ออกแบบเครื่องแต่งกาย ผู้จัดงานอีเวนต์ หรือแม้แต่ที่ปรึกษาด้านวัฒนธรรม”ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.สุรพล กล่าวถึงโอกาสในชีวิตและอาชีพของบัณฑิตนาฏยศิลป์

‘นาฏยศิลป์’ สุดยอดศาสตร์การสื่อสาร

ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.สุรพล กล่าวว่า ‘นาฏยศิลป์’ หรือ “นาฏศิลป์” (ที่ไม่มี ย) หรือ “นาฏกรรม” เป็นคำที่ครอบคลุมถึงศาสตร์แห่งการแสดงทุกประเภท แต่คำที่เป็นทางการที่สุดและถูกบัญญัติโดยสำนักงานราชบัณฑิตยสภาคือคำว่า “นาฏกรรม” ซึ่งหมายรวมการแสดงทุกอย่าง ตั้งแต่การเล่านิทาน การแสดงละครเด็ก การฟ้อนรำ ไปจนถึงการแสดงออกในบทบาทต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน เช่น การเป็นพิธีกร นายแบบ นางแบบ ฯลฯ 

“อย่างนักการเมืองที่ต้องปรากฎตัวกับสาธารณชน พวกเขาต้อง ‘แสดง’ ตามบทบาท ไม่ใช่ทำอะไรตามใจชอบ มันต้องมีกระบวนการ มีสคริปต์ นั่นคือความหมายที่กว้างที่สุดของนาฏกรรม”

นั่นหมายความว่า ในมุมของนาฏยศิลป์ “โลกคือละคร”

“เราทุกคนต่างเป็น นักแสดง” ในบทบาทใดบทบาทหนึ่งอยู่เสมอ” ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.สุรพล กล่าว “การแสดงอยู่คู่กับมนุษย์มาโดยตลอด เพราะมนุษย์มีศักยภาพในการเลียนแบบ การสมมติ และการใช้จินตนาการ ลองนึกภาพมนุษย์ยุคหินที่ไปล่าสัตว์กลับมา ตอนค่ำก็นั่งล้อมรอบกองไฟ แล้วก็เล่าเรื่องให้เพื่อนฟังว่าไปเจอสัตว์อะไรมา ตัวใหญ่แค่ไหน ดุร้ายอย่างไร สู้กันแบบไหน ก็ต้องทำท่าทำทางประกอบ นี่คือจุดเริ่มต้นของการสื่อสารผ่านการแสดง”

จากท่าทางง่าย ๆ ที่ใช้บอกเล่าประสบการณ์ ได้พัฒนาสู่การสื่อสารที่ซับซ้อนขึ้น มีการร้องไห้เพื่อแสดงความเสียใจ การหัวเราะเพื่อแสดงความสุขใจ ท่าทีเหล่านี้กลายเป็นภาษากายที่เป็นภาษาสากล เมื่อมนุษย์เริ่มมีภาษาเขียน มีวรรณกรรม มีดนตรี องค์ประกอบเหล่านี้ก็ได้หลอมรวมเข้าด้วยกัน กลายเป็น “นาฏกรรม” ที่มีรูปแบบและระเบียบแบบแผนที่ชัดเจนขึ้น เกิดเป็นศิลปะการแสดงที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละวัฒนธรรมทั่วโลก ตั้งแต่ละครรำของไทย บัลเลต์ของตะวันตก ไปจนถึงงิ้วของจีน

ระบำไทย
บัลเลต์ประยุกต์

“นาฏศิลป์จึงไม่ใช่เพียงศิลปะเพื่อความบันเทิง แต่เป็นวิวัฒนาการของการสื่อสารที่สำคัญที่สุดแขนงหนึ่งของมนุษย์ เป็นเครื่องมือบันทึกเรื่องราว ถ่ายทอดอารมณ์ และสะท้อนค่านิยมของสังคมในแต่ละยุคสมัย”

นาฏกรรมรอบรั้วจามจุรี

นาฏกรรมไม่ได้จำกัดอยู่ที่ภาควิชานาฏยศิลป์ คณะศิลปกรรมศาสตร์ เท่านั้น แต่เป็นศาสตร์ที่แทรกตัวอยู่ในแทบทุกคณะของมหาวิทยาลัยตั้งแต่ยุคก่อตั้งมหาวิทยาลัยแล้ว

“จุฬาฯ ไม่ได้มองการแสดงเป็นเพียงวิชาเอกของคณะใดคณะหนึ่ง แต่มองว่าเป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนานิสิตให้มีความพร้อมในทุกมิติ ทั้งทักษะการสื่อสาร ความเข้าใจในบทบาทหน้าที่ และความสามารถในการทำงานร่วมกับผู้อื่น” 

ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.สุรพล ยกตัวอย่าง การแสดงรอบรั้วจุฬาฯ จากคณะต่าง ๆ เช่น ละครถาปัด ของคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ที่มีรากมาตั้งแต่ท่านอาจารย์ศิววงศ์ กุญชร ณ อยุธยา ซึ่งท่านสืบเชื้อสายมาจากวังบ้านหม้อที่เป็นเจ้าของคณะละครใหญ่ในอดีต 

คณะอักษรศาสตร์มีการเรียนการสอนวรรณคดีการละครอย่างเชกสเปียร์ ก็ต้องมีการแสดงละครเพื่อทำความเข้าใจบทประพันธ์ 

ละครคณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ

คณะนิติศาสตร์ ก็มี ศาลจำลอง” ที่นิสิตต้องแสดงบทบาทเป็นผู้พิพากษา ทนาย หรือจำเลย 

คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มีโรงละคร “Black Box” ที่ให้นิสิตได้ฝึกจำลองสถานการณ์ทางธุรกิจในบทบาทต่าง ๆ ตั้งแต่ผู้จัดการไปจนถึงพนักงาน หรือ คณะนิเทศศาสตร์ ก็มีสาขาวิชาการสื่อสารการแสดง ที่ใช้ละครเป็นเครื่องมือในการรณรงค์เรื่องต่าง ๆ

คณะแพทยศาสตร์ก็มีการเรียนการสอนที่เกี่ยวกับการแสดงบทบาทสมมติทางการแพทย์ เพื่อฝึกจำลองการสื่อสารกับผู้ป่วยและญาติในสถานการณ์จริง 

บัณฑิตนาฏยศิลป์ จุฬาฯ เก่งปฏิบัติ แม่นวิชาการ 

หลักสูตร “นาฏยศิลป์” ของจุฬาฯ ให้ความสำคัญกับปรัชญาในการสร้างคน

เราต้องการสร้างทั้ง ศิลปิน’ และ นักวิชาการ’ ในคนเดียวกัน บัณฑิตของเราไม่ได้แค่รำเป็น เต้นเป็น แต่ต้องเข้าใจที่มาที่ไป เข้าใจปรัชญา และสามารถสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ได้ด้วย” ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.สุรพล กล่าว

การบ่มเพาะศิลปินผู้เชี่ยวชาญ (นักปฏิบัติ) และ นักวิชาการผู้ลุ่มลึก (นักคิด) เกิดจากกระบวนการสอบเพื่อจบการศึกษา ที่เรียกได้ว่าเป็น บททดสอบสุดหิน ที่นิสิตทุกคนต้องผ่านไปให้ได้ ประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก ได้แก่ 

  1. การอนุรักษ์ (Classic Performance) นี่คือบทพิสูจน์ของการสืบทอดมรดกทางวัฒนธรรม สาขานาฏยศิลป์ไทย นิสิตต้องสามารถรำเดี่ยวในบทบาทสำคัญของละครรำชั้นสูงได้ ไม่ใช่แค่การรำให้สวยงาม แต่ต้องแสดงให้เห็นถึงความแตกฉานในศิลปะชั้นสูง นิสิตต้องสามารถถ่ายทอดตัวละครสำคัญในวรรณคดี เช่น อิเหนา บุษบา หรือพระรามตามนิมิต ออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทั้งลีลาท่ารำ อารมณ์ และความเข้าใจในบทบาท และ
  1. การสร้างสรรค์ (Creative Performance) นิสิตต้องสามารถออกแบบและสร้างสรรค์การแสดงชุดใหม่ขึ้นมาด้วยตัวเอง ภายใต้งบประมาณและเวลาที่จำกัด 

นี่คือเวทีที่นิสิตจะได้ปลดปล่อยศักยภาพในฐานะ “ผู้สร้าง” พวกเขาต้องคิดค้น ออกแบบ และกำกับการแสดงชุดใหม่ของตัวเองขึ้นมาทั้งหมด ตั้งแต่แนวคิด ท่ารำ ดนตรีประกอบ ไปจนถึงฉากและเครื่องแต่งกาย ภายใต้โจทย์และข้อจำกัดที่ท้าทาย เพื่อพิสูจน์ทักษะการบริหารจัดการและความคิดสร้างสรรค์ที่ไร้ขีดจำกัด”

  1. การวิจัย (Academic Paper) นิสิตต้องเขียนวิทยานิพนธ์เพื่ออธิบายแนวคิด หลักการ และองค์ความรู้ทางวิชาการที่อยู่เบื้องหลังการแสดงของทั้งสองชุดข้างต้น เรื่องนี้คือส่วนที่ตอกย้ำความเป็นศิลปินนักวิชาการ ที่รังสรรค์ผลงานในฐานะศิลปิน และเต็มไปด้วยความรู้ในแบบนักวิชาการ

“หลังจากจบการแสดงทั้งสองชุด (classic + creative) นิสิตต้องขึ้นเวทีอีกครั้งในบทบาทของ “นักวิชาการ” เพื่อสอบวิทยานิพนธ์ที่อธิบายถึงแนวคิด ทฤษฎี และหลักการทางวิชาการที่อยู่เบื้องหลังผลงานของตนเอง พวกเขาต้องตอบคำถามจากคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ เพื่อแสดงให้เห็นว่างานสร้างสรรค์ที่ทำนั้นตั้งอยู่บนฐานขององค์ความรู้ที่หนักแน่น” ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.สุรพล กล่าว

“เราสอนให้เขาเป็นผู้รอบรู้ที่สามารถอธิบายงานของตัวเองได้ในเชิงวิชาการ สามารถต่อยอดและสร้างองค์ความรู้ใหม่ให้กับวงการได้ นี่คือหัวใจและปรัชญาในการสร้างบัณฑิตของเรา” 

ผสานความต่างสู่ความงาม: นาฏยศิลป์ไทยและตะวันตก

ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.สุรพล กล่าวว่า ภาควิชานาฏยศิลป์ คณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาฯ มีหลักสูตรนาฏยศิลป์ไทย (Thai Dance) และ นาฏยศิลป์ตะวันตก (Western Dance) โดยนาฏยศิลป์ไทย จะเน้นความลุ่มลึกของศิลปะการแสดงชั้นสูงของไทย ทั้งโขน ละคร และระบำรำฟ้อนต่าง ๆ การเรียนการสอนจะลงลึกไปถึงประวัติศาสตร์ คติชนวิทยา และความงามในเชิงปรัชญา

การแสดงรำของภาควิชานาฏยศิลป์ไทย
การแสดงรำชั้นสูง ภาควิชานาฏยศิลป์ไทย

ส่วนนาฏยศิลป์ตะวันตก จะครอบคลุมตั้งแต่บัลเลต์คลาสสิก ไปจนถึงการเต้นร่วมสมัย (contemporary dance) และแจ๊สแดนซ์ โดยนิสิตต้องผ่านกระบวนการสอบที่เข้มข้นไม่แพ้กัน ทั้งการสอบเดี่ยวตามมาตรฐานสากล และการสร้างสรรค์ผลงานของตนเอง

บัลเลต์คลาสสิก ภาควิชานาฏยศิลป์ตะวันตก
บัลเลต์คลาสสิก ภาควิชานาฏยศิลป์ตะวันตก

“หลักการของนาฏยศิลป์ทั้งสองฝั่งเหมือนกัน เพียงแต่เครื่องมือและภาษาที่ใช้ต่างกัน แทนที่จะสอบรำอิเหนา ก็อาจจะสอบโซโลจากเรื่อง Swan Lake แทนที่จะทำละครรำสร้างสรรค์ ก็อาจจะทำเป็น Contemporary Dance ที่มีคอนเซ็ปต์ลึกซึ้งแทน แต่สุดท้าย ทุกคนต้องเขียน Paper อธิบายงานของตัวเองได้เหมือนกัน”

การอยู่ร่วมกันของศิลปะการแสดงที่แตกต่างสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ที่เปิดโลกทัศน์ และสร้างแรงบันดาลใจให้นิสิต นำไปสู่ผลงานสร้างสรรค์ข้ามวัฒนธรรมที่นิสิตได้นำเสนอ เช่น วิทยานิพนธ์เรื่อง “พระลอ” โดยมหาบัณฑิตชาวอินโดนีเซียที่การแสดงออกมาในรูปแบบการแสดงของชวา

เปิดเส้นทางอาชีพหลากหลาย

อดีต หลายคนเข้าใจว่าผู้ที่เรียนนาฏยศิลป์จะประกอบอาชีพ “เต้นกินรำกิน” แต่ไม่ใช่เช่นนั้นอีกแล้วในยุคสมัยใหม่ 

“อาชีพของบัณฑิตเราหลากหลายกว่าที่คิด” ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.สุรพล กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “เพราะทักษะที่เขาได้เรียนรู้มันรอบด้านมาก ตั้งแต่การเป็น ‘เบ๊’ ล้างถ้วยล้างชาม จัดฉาก จัดดอกไม้ ไปจนถึงการเป็น ‘นางเอก’ บนเวที”

“เราไม่ได้ผลิตบัณฑิตให้อยู่ใน Comfort Zone เราผลิตคนที่ทำงานเป็น แก้ปัญหาได้ และมีความเข้าใจในทุกกระบวนการของการสร้างสรรค์” 

ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.สุรพล กล่าวว่าทักษะต่าง ๆ ที่นิสิตและบัณฑิตนาฏยศิลป์มี สามารถประกอบอาชีพได้หลากหลาย เช่น ในอุตสาหกรรมบันเทิง และอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ต่าง ๆ อาทิเช่น 

ช่างแต่งหน้า-ทำผมมืออาชีพ ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.สุรพล กล่าวว่า “บัณฑิตหลายคนผันตัวไปเป็นช่างแต่งหน้าคิวทอง สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ อย่างการรับงานแต่งหน้าบัณฑิต ก็มีรายได้ตั้งแต่หลักพันถึงหลายพันบาทต่อคน หรือการทำผมสำหรับงานแสดงที่ต้อง “ตั้งเกล้า” ก็มีค่าตัวสูงถึงหลักพันต่อหัว”

ตั้งเกล้าหญิง
ตั้งเกล้าชาย

ผู้ประกอบการและนักออกแบบ บัณฑิตหลายคนนำความรู้ด้านการออกแบบเครื่องแต่งกายและองค์ประกอบศิลป์ไปต่อยอดสร้างแบรนด์เสื้อผ้า เครื่องประดับ หรือรับจัดงานอีเวนต์และงานแต่งงาน

ครูและนักวิชาการ ด้วยพื้นฐานที่แน่นทั้งภาคปฏิบัติและทฤษฎี ทำให้พวกเขาสามารถเป็นครูสอนในสถาบันต่าง ๆ หรือศึกษาต่อในระดับสูงเพื่อเป็นอาจารย์และนักวิจัยในมหาวิทยาลัย

บุคลากรในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ หลายคนเข้าไปทำงานเบื้องหลังในบริษัทออร์แกไนเซอร์ บริษัทโปรดักชัน หรือทำงานในส่วนของ Backstage ที่ต้องใช้ความสามารถในการจัดการและแก้ปัญหาเฉพาะหน้า

            ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.สุรพล กล่าวเสริมว่าปัจจุบัน ภาควิชากำลังปรับหลักสูตรให้นิสิตมีความรู้ความเข้าใจเรื่อง AI เพื่อให้สามารถใช้เทคโนโลยีในการสร้างสรรค์ผลงาน ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบฉาก แอนิเมชัน หรือการทำ Storyboard ซึ่งทักษะและความรู้เหล่านี้ก็จะช่วยเพิ่มโอกาสในอาชีพให้บัณฑิตนาฏยศิลป์ได้อีกมากในอนาคต

นาฏยศิลป์ไทย Soft Power ทรงพลัง เมื่อเข้าถึงแก่น

การร่ายรำหรือการแสดงโขนบนเวทีจัดว่าเป็น Soft Power หรือไม่ คำตอบจากศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.สุรพล คือ “ไม่เสมอไป”  

“สังคมมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับเรื่องนี้ แท้ที่จริงแล้ว Soft Power หมายถึงการโน้มน้าวจิตใจผู้คนโดยที่เขาไม่รู้ตัว การที่ผู้นำเอาผ้าขาวม้ามาพันคอแล้วบอกว่านี่คือการโปรโมต Soft Power นั้น เป็นเรื่องผิวเผินเกินไป” 

ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.สุรพล ยกตัวอย่าง Soft Power ที่ทรงพลังคือสิ่งที่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ทรงทำกับผ้าไทย 

“ท่านไม่ได้แค่เอาผ้ามาโชว์ แต่ท่านลงไปพัฒนาตั้งแต่ต้นน้ำ ทำเรื่องสี ลาย แพตเทิร์น ทำให้มันร่วมสมัยและคนอยากใส่ในชีวิตจริง หรืออย่างการที่หลวงพ่อชาสอนธรรมะให้ฝรั่งจนเกิดเป็นวัดป่านานาชาติ นั่นคือ Soft Power ที่เกิดจากการสร้างคุณค่าที่ลึกซึ้งและน่าเลื่อมใส” 

“Soft Power ผ่านนาฏยศิลป์ก็เช่นกัน ไม่ใช่การเอาโขนไปแสดงแล้วจบ แต่ต้องมีการอธิบายเรื่องราวเบื้องหลัง ทำให้คนดูเข้าใจและชื่นชมในคุณค่าและความยากลำบากของการฝึกฝน เช่น กว่าจะเป็นทศกัณฐ์ได้ต้องใช้เวลาฝึกฝนถึง 12 ปี เรื่องราวเหล่านี้ต่างหากที่จะสร้างความประทับใจและพลังที่นุ่มนวลได้อย่างแท้จริง”

            ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.สุรพล มั่นใจว่าบัณฑิตจากภาควิชานาฏยศิลป์ คณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาฯ จะเป็นผู้หนึ่งที่เข้าใจถึงแก่นคุณค่าแห่งนาฏยศิลป์ สามารถสร้างพลังที่นุ่มนวลอันทรงอานุภาพได้ และพร้อมที่จะ “แสดง” บทบาทของตนเองบนเวทีโลกได้อย่างสง่างามและยั่งยืน.

สำหรับผู้ที่สนใจอยากทราบรายละเอียดเพิ่มเติมของภาควิชานาฏยศิลป์ คณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หรืออยากเห็นกิจกรรมต่างๆ ของทางภาควิชานั้นสามารถติดตามและสอบถามได้ทาง Facebook ของทางภาควิชา ที่เว็บไซด์  https://www.facebook.com/dancechula

จุฬาฯ สนับสนุนให้อาจารย์ทำงานวิจัย นับว่าเป็นสิ่งที่ดีมากต่อทั้งอาจารย์ นิสิต รวมถึงภาคประชาสังคม

รองศาสตราจารย์ ดร.สุชนา ชวนิชย์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ไอคอน PDPA

เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีให้กับท่าน และเพื่อพัฒนาคุณภาพการให้บริการเว็บไซต์ที่ตรงต่อความต้องการของท่านมากยิ่งขึ้น ท่านสามารถทราบรายละเอียดเกี่ยวกับคุกกี้ได้ที่ นโยบายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และท่านสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

ท่านสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

อนุญาตทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้ที่มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้ท่านสามารถใช้เว็บไซต์ได้อย่างเป็นปกติ ท่านไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลพฤติกรรมการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน โดยมีจุดประสงค์คือนำข้อมูลมาวิเคราะห์เพื่อปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ให้มีคุณภาพ และสร้างประสบการณ์ที่ดีกับผู้ใช้งาน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด หากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราอาจไม่สามารถวัดผลเพื่อการปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ให้ดีขึ้นได้
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า