รู้จักจุฬาฯ
การบริหาร
อัตลักษณ์มหาวิทยาลัย
Green University
Sustainability
ติดต่อจุฬาฯ
บริจาคให้จุฬาฯ
หลักสูตร
การสมัครเข้าศึกษา
หน่วยงานการศึกษา
บริการนิสิต
บริการวิชาการ
บริการทางการแพทย์
บริการตรวจวิเคราะห์คุณภาพ
สารสนเทศและการสื่อสาร
พื้นที่สร้างสรรค์
ข่าวสารและความเคลื่อนไหว
วารสารจุฬาฯ
สาระความรู้
ข่าวสารจุฬาฯ
19 เมษายน 2566
ข่าวเด่น
ผู้เขียน Geert-Jan (GJ) van der Zanden , Sasin School of Management
บทความโดย Geert-Jan (GJ) van der Zanden Visiting Faculty และ Senior Advisor Sustainability Leadership, Sasin School of Management
การลดผลกระทบที่เกิดจากการเติบโตของประชากรและการทำลายสิ่งแวดล้อมจำเป็นต้องอาศัย “การเปลี่ยนแปลงเชิงระบบ” ซึ่งจะเกิดขึ้นได้เมื่อผู้นำใช้สติในการบริหาร
เมื่อ 100 ปีก่อน จำนวนเด็กเกิดใหม่มีน้อยกว่า 2 พันล้านคน แต่เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2565 จำนวนประชากรโลกเพิ่มสูงขึ้นเกิน 8 พันล้านคนไปแล้ว แม้ว่าอัตราการเติบโตจะช้าลงไปบ้าง แต่ก็กล่าวได้ว่าประชากรโลกเพิ่มขึ้นประมาณ 200,000 คนต่อวัน แน่นอนว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจนี้นำมาสู่ความเจริญที่ยิ่งใหญ่ ให้คนเป็นพันๆ ล้านได้บริโภคอุปโภค อยู่อาศัย เดินทาง และเกิดการใช้บริการสารพัดรูปแบบ แต่โมเดลการเติบโตทางเศรษฐกิจของเรานั้นอยู่ที่บรรทัดฐานของความเชื่อที่เลื่อนลอยว่า เมื่อคนมากขึ้นการผลิตก็จะมากขึ้น เมื่อบริโภคมากขึ้นก็จะทำให้ GDP เพิ่มขึ้น และความเป็นอยู่ก็จะดีขึ้น แล้วเราก็ได้เรียนรู้ภายหลังว่าโมเดลที่เน้นเฉพาะความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจนั้นจะทำลายต้นทุนทางธรรมชาติ การมองประโยชน์อันใกล้จะทำให้เสียความมั่นคงระยะยาว และทำให้สังคมเกิดความแตกต่างมากขึ้น
เราเข้าสู่ยุคของการเติบโตทางเศรษฐกิจแบบผิดปกติ เราสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจด้วยต้นทุนของทุนทางธรรมชาติและสังคม เช่น สหรัฐอเมริกาหมดเงินประมาณหนึ่งแสนสองหมื่นล้าน – หนึ่งแสนเก้าหมื่นล้านเหรียญสหรัฐต่อปีไปกับการรักษาภาวะ burn out และซึมเศร้า เงินที่ใช้รักษาเหล่านั้นได้ถูกนับรวมไปใน GDP ของประเทศ งบประมาณที่สหรัฐใช้ไปทั้งหมด 2.5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ในสงครามอิรัก- อาฟกานิสถานถูกนับเข้าไปใน GDP แต่ความสูญเสีย ชีวิตและทรัพย์สินที่เกิดขึ้นไม่ได้ถูกนับรวมไปด้วย
การเติบโตทางเศรษฐกิจแบบผิดปกตินำมาซึ่งผลเสียที่ตามมาต่อสิ่งแวดล้อม เพราะการที่เรานำทรัพยากรธรรมชาติมาใช้ก็เป็นการปล่อยก๊าซเรือนกระจกกลับคืนสู่อากาศ เราสร้างขยะมากกว่าที่โลกจะรับไหว เมื่อปี 2552 ข้อมูลการศึกษาโดย Trucost ระบุว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจของเราต้องใช้ทุนทางธรรมชาติถึง 7.3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 13% ของ GDP โลก
การประเมินผลกระทบ
1) The rebound effect (ผลย้อนกลับ) เมื่อประสิทธิภาพในการผลิตเพิ่มขึ้นจะทำให้สินค้าราคาลดลงและกระตุ้นให้เราบริโภคมากขึ้น เช่น เมื่อมีเครื่องปรับอากาศประสิทธิภาพสูง เราก็ซื้อมาใช้มากขึ้น หรือเที่ยวบินถูกลงคนก็เดินทางมากขึ้น
2) “Unintended Consequences” (ผลที่ตามมาโดยไม่ได้ตั้งใจของความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี) ข้อดีของเทคโนโลยีมักทำให้เรามองข้ามผลกระทบด้านลบ เช่น เทคโนโลยีใหม่อย่าง 5G สร้างความเหลื่อมล้ำมากขึ้น เนื่องจากการลงทุนในการเข้าถึงเทคโนโลยีนั้นจำกัดเฉพาะประชากรที่มีฐานะและพื้นที่ประชากรหนาแน่น
3) แนวโน้มที่เราเห็นจากตัวชี้วัดความยั่งยืนนั้นแสดงให้เห็นว่าไม่เพียงแต่เวลาเราใกล้จะหมดแล้ว เรายังไม่สามารถพึ่งพาการเติบโตของอาหาร แหล่งพลังงาน การขนส่ง และระบบโครงสร้างพื้นฐาน เราต้องใช้มาตรการที่เร่งด่วนเท่านั้น ในการเปลี่ยนแปลงสู่โมเดลความยั่งยืนที่โลกต้องมีนั้น เราต้องยอมรับการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบที่เฉียบขาด
เปลี่ยนอย่างไรให้ได้ผล
การเปลี่ยนแปลงเชิงระบบนั้นเป็นเรื่องยาก ระบบประกอบด้วยหลายฝ่าย ทั้งผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและระบบย่อยที่เชื่อมกันซึ่งมีอยู่ในระดับสังคม สถาบัน วัฒนธรรม การเมือง เศรษฐกิจ เทคนิค และระบบนิเวศ ระบบย่อยเหล่านี้มักจำกัดอยู่ในการจัดการแบบส่วนใครส่วนมัน กระบวนการที่ขัดแย้งกัน และบทบาทผู้กำหนดนโยบายและผู้ดูแลระบบที่ไม่ได้ระบุความชัดเจนว่าใครทำอะไร ด้วยเหตุผลเหล่านี้ แต่ละระบบจึงเป็นเครือข่ายของการปฏิสัมพันธ์ที่ซับซ้อนและอาจส่งผลให้เกิดผลที่เราคาดไม่ถึงได้
ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบจะเกิดขึ้นเมื่อเงื่อนไขแบบ top-down ปฎิสัมพันธ์กับนวัตกรรมแบบ bottom-up ทั้งนี้ในการเปลี่ยนแปลงส่วนใหญ่แบ่งออกเป็น 4 ช่วง ดังนี้
1. กลยุทธ์: สร้างพื้นที่ในการเปลี่ยนแปลง โดยเน้นที่ “กลุ่มแนวหน้า” และการมีวิสัยทัศน์ร่วมกัน
2. ยุทธวิธี: พัฒนาการเปลี่ยนผ่านที่เป็นรูปธรรม โดยหาวิธีที่เป็นไปได้และและอุปสรรคที่ต้องข้ามผ่าน
3. การดำเนินการ: ทำการทดลองและพยายามขยายผลสิ่งที่ทำแล้วได้ผลดี
4. การทบทวน: ติดตามและประเมินความก้าวหน้า
ขณะที่เราคิดว่าเราจะสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในด้านสังคม เทคนิค สภาพนิเวศ เรากำลังคิดถึงผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ นโยบาย และความกาวหน้าทางเทคโนโลยี ทั้งนี้ภาษี สิ่งจูงใจ รูปแบบการระดมทุนแบบแบ่งปันความเสี่ยง crowd sourcing และระบบการตรวจสอบที่ดี ล้วนเป็นสิ่งสำคัญ อย่างไรก็ตามคนส่วนใหญ่มักจะต่อต้านการเปลี่ยนแปลงที่ขัดแย้งกับบรรทัดฐานและค่านิยมที่ฝังแน่นอยู่ในใจ ดังนั้นเราจะต้องมุ่งเน้นการผลักดันให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียตัดสินใจ
ด้วยเหตุผลนี้ผู้เชี่ยวชาญจึงเบนเข็มความสนใจไปที่ “แนวคิด” A 2015 paper พูดถึงการนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางสังคมโดยเน้นแรงจูงใจแบบภายใน (“intrinsic”) ซึ่งอาจขึ้นอยู่กับเหตุผล อารมณ์ หรือค่านิยม หนังสือ“Thinking in Systems” โดย Donella Meadows ชี้ให้เห็นถึงจุดที่จะแทรกแซงแนวคิดได้ 3 จุดเพื่อการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบ ได้แก่ 1) เมื่อมีการลำดับความสำคัญ และกลายมาเป็นวัตถุประสงค์ของระบบใหม่ 2) เมื่อมีความคิดที่จะนำไปสู่ระบบใหม่ 3) เมื่อสามารถก้าวข้ามกระบวนทัศน์ที่มีอยู่ แทนที่จะแค่ปรับเปลี่ยนอะไรที่มีอยู่ (ปี 2551)
การสอน Mindful Leaders
ถ้าเรามีความหวังที่จะหยุดการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ผิดปกติ สถาบันสอนบริหารธุรกิจต้องปลูกฝังความคิด ทักษะและเครื่องมือที่เหมาะสมให้กับผู้นำในอนาคตเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบ วิธีที่ศศินทร์กำลังใช้อยู่ คือการสอน Mindful Leaders ให้มี skills 6 อย่าง คือ
1. Contextual curiosity (ความอยากรู้อยากเห็นเชิงบริบท) การถ่อมตนว่า ‘ไม่รู้’ และการคิดวิเคราะห์เพื่อแสวงหาความรู้จากแหล่งต่างๆ และการเชื่อมโยงข้อมูล โดยตระหนักถึงตัวกรองและอคติต่างๆ ความสามารถนี้ยังรวมถึงความสามารถในการเห็น ‘เทรนด์’ ก่อนที่เทรนด์จะชัดเจนและกลายเป็นความจริง
2. Future consciousness (การตระหนักถึงอนาคต) ความสามารถในการจินตนาการถึงอนาคตผ่านการคิดที่แตกต่าง โดยใช้มุมมองและฉากทัศน์ที่หลากหลาย ขณะเดียวกันใช้ความเห็นอกเห็นใจและเข้าใจคนต่างยุคสมัย
3. Systems range (ขอบเขตของระบบ) มี sense ของความรับผิดชอบในการเป็นผู้นำและการเอาใจใส่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นในการบริหารองค์กรให้มีประสิทธิภาพสูง ผู้นำต้องเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างส่วนประกอบต่างๆของระบบ และสามารถคาดการณ์ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นได้ ทั้งผลกระทบที่ตั้งใจและไม่ตั้งใจ
4. Collaborative competence (ความสามารถในการทำงานร่วมกัน) ความสามารถในการสร้างความร่วมมือในการเปลี่ยนแปลงให้ประสบความสำเร็จ
5. Radical impact agility (ความสามารถในการปรับตัวรับผลกระทบที่เฉียบพลันได้) การมุ่งมั่นในการสร้าง impact แม้ว่าโลกจะเต็มไปด้วยความผันผวน ความซับซ้อน ความไม่แน่นอนก็ตาม ผู้นำที่ใช้ความตั้งใจในการเปลี่ยนแปลงและใช้แนวคิดแบบผู้ประกอบการ ตั้งคำถามอย่างต่อเนื่องและหาทางออกใหม่ๆเพื่อสร้าง impact และคุณค่าแบบใหม่
6. Purpose (วัตถุประสงค์) การรู้จักตนเอง ความซื่อสัตย์ เข็มทิศทางศีลธรรมและความชัดเจนของวิสัยทัศน์ที่จะสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้อื่นเดินตามไปในทางที่ดีขึ้น
Pursuing Sufficiency, Not Excess (ใฝ่พอเพียง ไม่มากเกินไป)
การสอน Mindful Leadership ของศศินทร์รวมเอาหลักเศรษฐกิจพอเพียง“Sufficiency Economy” ซึ่งพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงริเริ่มขึ้นในปี 2540 พระองค์ทรงใช้หลักเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อรับมือกับความเสี่ยงที่นำไปสู่วิกฤตเศรษฐกิจในเวลานั้น ในวิสัยทัศน์ของพระองค์การพัฒนาเศรษฐกิจควรเป็นแบบองค์รวม แบบค่อยเป็นค่อยไปทั่วทั้งสังคมและเป็นไปอย่างระมัดระวังและต้องมองการณ์ไกลเพื่อป้องกันความผิดพลาด เศรษฐกิจพอเพียงได้รับการนำไปใช้อย่างประสบความสำเร็จในหลายภาคส่วนในประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคการเงิน ที่สามารถเพิ่มความพึงพอใจของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และลดความเสี่ยงและลดต้นทุน ซึ่งหลักการเศรษฐกิจพอเพียงนั้นได้นำคำสอนของพระพุทธศาสนามาใช้ ได้แก่
ทฤษฏีของเศรษฐกิจพอเพียงยังช่วยส่งเสริมคุณธรรมและความซื่อสัตย์ซึ่งเป็นเสาหลักที่สำคัญในการบริหารคุณภาพและเกี่ยวข้องโดยตรงกับการแก้ไขวิกฤตปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นปัญหาด้านความเชื่อใจ การฟอกเขียว และการให้ข้อมูลบิดเบือน เป็นต้น
การตระหนักถึงหน้าที่
ผู้นำทางธุรกิจที่คำนึงถึงความรับผิดชอบต่อสังคมสามารถนำหลักธรรมอื่นๆ มาปรับใช้ได้ ตัวอย่างเช่น Bob Thurman อดีตศาสตราจารย์ด้าน Indo-Tibetan Buddhist Studies มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย เคยอธิบายความเชื่อเรื่องการกลับชาติมาเกิดซึ่งกลายมาเป็นแรงจูงใจด้านความยั่งยืน เช่น การที่เราทำให้สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ และสังคมเสื่อมโทรมลงนั้นทำให้เราต้องใช้กรรมโดยทำให้เรากลับมาเกิดแบบแย่ลง เราจะสามารถมีโอกาสบรรลุนิพพานต่อเมื่อเราทำความดีเพื่อให้โลกดีขึ้น เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม สถาบันสอนธุรกิจไม่จำเป็นต้องสร้างศาสนาหรือประเพณี หรือปรัชญาเพื่อสอน Mindful Leaders เรื่องการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบ โลกแบบ VUCA ในปัจจุบันต้องการผู้นำที่มองอนาคตระยะยาวและเข้าใจผลที่ตามมาในเชิงระบบ และสามารถตัดสินใจโดยการใช้วิจารณญาณ ไม่ใช่ความหลงใหล เราต้องการผู้นำที่มีความซื่อสัตย์ ที่สามารถความควบคุมตนเอง คำนึงถึงผู้อื่น และเข้าใจในความเชื่อและอคติที่ผู้อื่นมีในเรื่องของความต้องการและคุณค่า
สถาบันสอนบริหารธุรกิจมีหน้าที่ช่วยให้นิสิตนักศึกษาเข้าใจภาพรวมของโลก เพื่อให้นิสิตนักศึกษาสามารถสร้างสังคมที่มนุษย์ และธรรมชาติสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างกลมกลืนและมีอนาคตที่ยั่งยืน
ในแปดนาทีที่คุณอ่านบทความนี้ โลกได้สูญเสียพื้นที่ป่าที่เท่ากับสนามฟุตบอลประมาณ 100 สนามไปแล้ว
สถาบันขงจื่อแห่งจุฬาฯ เปิดอบรมภาษาจีนสำหรับนิสิต เสริมทักษะสู่การสื่อสาร
พิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) การประชุมวิชาการร่วมคณะแพทยศาสตร์ 4 สถาบัน 2568 จุฬาฯ – รามาฯ – ศิริราช – ธรรมศาสตร์
เชิญฟังการบรรยายพิเศษ “พ.ร.บ. อากาศสะอาด แก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 ได้อย่างไร”
การเปลี่ยนถ่ายด้านพลังงาน กับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ ปี ค.ศ. 2050 | ตอนที่ 2
ธรรมสถานจุฬาฯ จัดงานวันมาฆบูชา ร่วมสวดมนต์ ฟังธรรม และเวียนเทียนเนื่องในวันสำคัญทางพุทธศาสนา
คณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาฯ ส่งมอบแอปพลิเคชันเกม Elder Eats เวอร์ชั่น 1.0 ให้คลินิกผู้สูงวัยสุขภาพดี และทำกิจกรรมดนตรีสำหรับผู้สูงวัย โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย
จุฬาฯ มีลักษณะของความเป็นพี่น้อง ความอบอุ่น เป็นสังคมที่อยากอนุรักษ์ไว้ ศาสตราจารย์ เภสัชกรหญิง ดร.พรอนงค์ อร่ามวิทย์ คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
จุฬาฯ มีลักษณะของความเป็นพี่น้อง ความอบอุ่น เป็นสังคมที่อยากอนุรักษ์ไว้
ศาสตราจารย์ เภสัชกรหญิง ดร.พรอนงค์ อร่ามวิทย์ คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีให้กับท่าน และเพื่อพัฒนาคุณภาพการให้บริการเว็บไซต์ที่ตรงต่อความต้องการของท่านมากยิ่งขึ้น ท่านสามารถทราบรายละเอียดเกี่ยวกับคุกกี้ได้ที่ นโยบายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และท่านสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า
ท่านสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น
ประเภทของคุกกี้ที่มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้ท่านสามารถใช้เว็บไซต์ได้อย่างเป็นปกติ ท่านไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลพฤติกรรมการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน โดยมีจุดประสงค์คือนำข้อมูลมาวิเคราะห์เพื่อปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ให้มีคุณภาพ และสร้างประสบการณ์ที่ดีกับผู้ใช้งาน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด หากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราอาจไม่สามารถวัดผลเพื่อการปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ให้ดีขึ้นได้ รายละเอียดคุกกี้