รู้ลึกกับจุฬาฯ
มองย้อน ‘ภาษีไทย’ จากข่าวฟ่าน ปิงปิง

ในช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา ข่าวใหญ่วงการบันเทิงของจีนและระดับโลกคงหนีไม่พ้นการหายตัวไปของดาราสาวจีนชื่อดังเป็นเวลากว่าสามเดือน ซึ่งล่าสุดมีความคืบหน้า ว่าดาราสาวถูกรัฐบาลจีนควบคุมตัวเพื่อสอบสวนคดีการเลี่ยงภาษี แต่ล่าสุดก็ได้รับการปล่อยตัวพร้อมคำสั่งให้เสียภาษีย้อนหลังและค่าปรับอีก 4.2 พันล้านบาท
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า แม้ตัวดาราสาวจะขายสินทรัพย์เพื่อชำระค่าปรับได้เรียบร้อยภายใน 2 วันหลังจากถูกปล่อยตัว แต่ชาวจีนเห็นว่าการหนีภาษีเป็นเรื่องที่น่าอับอายและบทลงโทษนี้ยังถือว่าเบาไปในทางตรงกันข้ามชาวไทยหลายคนเชื่อว่าหากฟ่าน ปิงปิง อยู่ในไทยอาจไม่ถูกสอบสวนหนักขนาดนี้เพราะระบบการเก็บภาษีของประเทศไทยยังมีช่องโหว่
ผศ.ดร.อธิภัทร มุทิตาเจริญ จากคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อธิบายว่าภาษีประเภทที่เรียกว่าภาษีเงินได้แบบเดียวกับกรณีดาราสาวฟ่าน ปิงปิง สำหรับในประเทศไทยสามารถจัดเก็บได้น้อยกว่าที่ควรจะเป็นตามโครงสร้างเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจริง
“มีปัจจัยสำคัญหลายอย่างที่ทำให้เราเก็บได้น้อยกว่าที่ควรจะเป็น อย่างที่เรารู้กันว่ามนุษย์เงินเดือนเสียภาษีมากที่สุด ทั้งนี้เพราะเงินเดือนถูกเก็บภาษี ณ ที่จ่าย หลบเลี่ยงยาก แต่ขณะเดียวกันไทยเราก็มีภาคเศรษฐกิจนอกเยอะมาก ซึ่งหลบเลี่ยงภาษีได้ง่าย”
ข้อมูลจากกรมสรรพากรที่คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ ได้เข้าไปทำวิจัยด้วย เผยว่า ประเทศไทยมีคนเสียภาษีเงินได้จริงๆ ราว 3-4 ล้านคน ขณะที่ประชากรวัยแรงงานมีประมาณ 40 ล้านคน ซึ่งในผู้เสียภาษีเงินได้จริงนี้ๆพบว่ามากกว่าร้อยละ 80 ของผู้เสียภาษีเป็นมนุษย์เงินเดือนในระบบ สูงกว่าสัดส่วนรายได้แรงงาน หรือ Labor income ในบัญชีรายได้ประชาชาติไปมาก สะท้อนให้เห็นว่าการจัดเก็บภาษีเงินได้ของไทยกระจุกตัวอยู่ที่คนกลุ่มเดียว คือกลุ่มมนุษย์เงินเดือน
อาจารย์อธิภัทรกล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจัยอีกประการที่สำคัญคือการที่กฎหมายภาษีของเราให้ความสำคัญกับเงินได้แต่ละแหล่งไม่เท่าเทียมกัน เช่น บุคคลที่มีรายได้จากเงินเดือน กับบุคคลที่มีรายได้จากเงินปันผลหรือการขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์เสียภาษีไม่เท่าเทียมกัน ประกอบกับเกณฑ์การหักค่าใช้จ่ายและมาตรการลดหย่อนต่างๆ ซึ่งก็ทำให้ฐานภาษีที่เก็บได้ยิ่งแคบลง
“การจัดเก็บภาษีเงินได้ของเราไม่เปิดโอกาสให้มนุษย์เงินเดือนสามารถหักค่าใช้จ่ายมากนัก มีการกำหนดระดับการหักสูงสุดที่ตายตัว และยังไม่ปรับขึ้นอัตโนมัติตามอัตราเงินเฟ้อ ทำให้เกิดคำถามตามมาว่าตกลงแล้วประเทศไทยมีการจัดเก็บภาษีที่เป็นธรรมหรือไม่”
อาจารย์อธิภัทรชี้ว่า กฎหมายภาษีไทยไม่สะท้อนการทำงานของคนปัจจุบันเท่าที่ควร เช่นกรณีการแบ่งประเภทละเอียดยิบย่อยในหมวดอาชีพเฉพาะที่มีอัตราการจัดเก็บภาษีไม่เท่าเทียมกัน ทำให้เกิดต้นทุนในการดูแลจัดการโดยกรมสรรพากร และเกิดช่องว่างในการหลบเลี่ยงภาษี และไม่มีความยืดหยุ่นในการหักภาษีเงินได้ ทำให้ภาษีรายได้ที่ควรจะจัดเก็บน้อยกว่าที่ควรจะเป็น
นอกจากนี้การมีสิทธิประโยชน์ลดหย่อนภาษี เช่น กองทุน LTF หรือ RMF รวมถึงนโยบายช็อปช่วยชาติ ก็เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้การจัดเก็บภาษีถูกกระจุกตัว อยู่กับคนไม่กี่กลุ่ม โดยเฉพาะผู้ที่ได้รับประโยชน์จากกองทุนลดหย่อนภาษี
“คำถามคือเรากำลังให้ LTF เพื่อช่วยคนชั้นกลาง หรือคนรายได้น้อยอยู่หรือเปล่า เพราะกลไกที่เราหักลดหย่อนไปตามขั้นบันไดภาษีทำให้คนรวยได้รับการประหยัดทางภาษีมากกว่าคนที่อยู่ขั้นบันไดต่ำกว่า จากข้อมูลเราเห็นว่ากว่าครึ่งหนึ่งของผลประโยชน์ภาษี LTF ไปตกอยู่กับคนรวย Top 5% ของประเทศ”
อาจารย์อธิภัทรชี้ว่า กรมสรรพากรคงไม่สามารถตรวจสอบและเข้าไปติดตามในทุกๆ บัญชีได้ โดยเฉพาะเศรษฐกิจนอกระบบจำนวนมากที่มีอยู่ในประเทศไทย ดังนั้นควรใช้วิธีการค่อยเป็นค่อยไปอย่างระมัดระวังและใช้วิธีการจูงใจให้คนไทยเริ่มมั่นใจและเข้าสู่ระบบการจัดเก็บภาษีในระบบ
“ต้องกลับมาตั้งคำถามใหม่ว่าภาษีปัจจุบันทำให้คนมีความสุขกับการอยู่ในระบบอีกหรือเปล่า เราควร มีกลไกที่ทำให้คนรู้สึกวางใจในการเข้าระบบภาษีมากขึ้น รัฐบาลควรใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแค่ไหน คุ้มค่าขนาดไหน นอกจากนี้ก็ควรมีความโปร่งใสให้ประชาชนตรวจสอบได้”
กรณี ฟ่าน ปิงปิง เป็นภาพสะท้อนของประเทศที่เอาจริงเอาจังด้านการจัดเก็บภาษี และมีบทลงโทษของผู้ละเมิดกฎหมายอย่างรุนแรง หากไทยมุ่งมั่นจริงจังในมาตรการการจัดเก็บภาษีโดยปฏิบัติต่อผู้เสียภาษีรายได้ทุกกลุ่มทุกประเภทอย่างเท่าเทียมและยุติธรรม สร้างความมั่นใจให้ผู้เสียภาษี ก็คงจะช่วยให้สามารถยกระดับ การจัดเก็บภาษีในประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

จุฬาฯ มีลักษณะของความเป็นพี่น้อง ความอบอุ่น เป็นสังคมที่อยากอนุรักษ์ไว้
ศาสตราจารย์ เภสัชกรหญิง ดร.พรอนงค์ อร่ามวิทย์ คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย